ฉีดวิตามินผิว กับ ดริปวิตามินผิว ต่างกันอย่างไร อันตรายไหม กี่ครั้งเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน

ปัจจุบันที่เราต้องเผชิญกับ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ก็ล้วนแล้วแต่ส่งผลกับสุขภาพผิวของเราแทบทั้งสิ้น อีกทั้งอาหารที่เรารับประทานในแต่ละวันก็อาจทำให้เราไม่ได้รับวิตามินในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย ก็อาจทำให้ผิวของเราหมองคล้ำ ดูไม่มีชีวิตชีวา การเสริมด้วยวิตามินเข้มข้น ก็จะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นมาได้

Table of Contents

ดริปวิตามิน (Vitamin Drip) คืออะไร

การดริปวิตามิน (Vitamin Drip) ก็คือ วิธีการให้อาหารเสริมในรูปแบบวิตามินและแร่ธาตุผ่านทางหลอดเลือดดำ (Intravenous Therapy) โดยการผสมวิตามินเข้ากับน้ำเกลือ และส่งเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรงผ่านสาย IV วิธีนี้ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารในปริมาณที่เข้มข้น และสามารถดูดซึมได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยในระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งวิตามินที่ได้รับนั้น ยังมีปริมาณที่มากกว่า เมื่อเทียบกับการกินวิตามิน เพราะการกินวิตามินอาจถูกจำกัดหรือสูญเสียวิตามินบางส่วนไป ผ่านการดูดซึมของลำไส้ นอกจากนี้ การดริปวิตามินยังให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วกว่า ทำให้ร่างกายที่อ่อนล้านั้น ได้รับการฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ฉีดวิตามินผิว กับ ดริปวิตามิน (Vitamin Drip) ต่างกันอย่างไร

การฉีดวิตามินผิว และ ดริปวิตามิน (Vitamin Drip) นั้น ต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการฟื้นฟูและเพิ่มความเปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวาให้แก่ให้ผิว แต่มีความแตกต่างในกระบวนการและผลลัพธ์ที่ได้ การฉีดวิตามินผิวจะเป็นการการฉีดวิตามินในปริมาณที่กำหนดเข้าสู่หลอดเลือดดำผ่านไซริงค์ โดยแพทย์จะเป็นผู้ทำการฉีดให้ ซึ่งต้องใช้ความชำนาญสูง ทำให้มีความเสี่ยงหากมีการผลักตัวยาเร็วเกินไป ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับวิตามินอาจมีอาการหน้ามืด เวียนหัวได้ อีกทั้งความเข้มข้นของวิตามินนั้นอาจไม่เข้มข้น หากเทียบกับการดริปวิตามิน (Vitamin Drip) ซึ่งจะเป็น การให้วิตามินผ่านทางสายน้ำเกลือเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง โดยการนำวิตามินผสมใส่กระปุกแล้วจึงค่อยๆ ให้แบบช้าๆ ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินในปริมาณมากและกระจายไปยังผิวทั่วทั้งร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายได้รับวิตามินที่สม่ำเสมอในระยะเวลาที่ให้ จึงเกิดโอกาสที่จะมีอาการวิงเวียนศีรษะที่น้อยกว่า วิธีนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการฟื้นฟูสุขภาพผิวอย่างครบถ้วนอีกด้วย

ดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip) อันตรายไหม

การดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip) เป็นวิธีการที่ปลอดภัย เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินในปริมาณที่มากและมีประสิทธิภาพกว่าการกิน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เช่น การฟื้นฟูร่างกายหรือการดูแลผิว แต่ควรทำในสถานที่ที่ได้มาตรฐาน ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

ดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip) ช่วยอะไรได้บ้าง

  • เพิ่มความกระจ่างใสของผิว: วิตามินซีและกลูตาไธโอนช่วยลดความหมองคล้ำ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีและแร่ธาตุ เช่น สังกะสี (Zinc) ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ
  • ฟื้นฟูร่างกายจากความอ่อนล้า: วิตามินบีคอมเพล็กซ์ช่วยเพิ่มพลังงาน ลดความเหนื่อยล้า และปรับสมดุลการทำงานของร่างกาย
  • ลดการอักเสบและฟื้นฟูเซลล์ผิว: วิตามินที่มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสียหายจากมลภาวะและความเครียด

ใครเหมาะกับ ดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip)

การดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip) เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพและความงามในเชิงลึกและรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

  • ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวให้กระจ่างใส ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือมีจุดด่างดำจากแสงแดด
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกาย เนื่องจากเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก หรือมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น เป็นไข้หวัดง่าย หรือมีภูมิแพ้ ฯลฯ การดริปวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการชะลอวัย ต้องการลดเลือนริ้วรอย เพิ่มความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้นให้ผิว และลดความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย
  • ผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมวิตามินจากอาหาร หรือ ผู้ที่มีโรคทางระบบย่อยอาหาร เช่น โรคลำไส้อักเสบ การดูดซึมสารอาหารผิดปกติ เป็นต้น
  • ผู้ที่ต้องการเสริมสุขภาพแบบเร่งด่วน คนที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเองเต็มที่ เช่น นักธุรกิจ หรือผู้ที่ต้องเดินทางบ่อยๆ

ขั้นตอนการดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip)

การดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip) นั้น เป็นโปรแกรมที่ไม่ยุ่งยากหรือซับซ้อน โดยมีขั้นตอนดังนี้

  • การตรวจประเมินสุขภาพ รับคำปรึกษา และ เลือกสูตรวิตามินที่ต้องการและเหมาะสม
  • เตรียมตัวก่อนการดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip) โดยควรดื่มน้ำมาก ๆ ก่อนการดริปเพื่อช่วยเรื่องการไหลเวียนต่างๆ ภายในร่างกาย
  • การดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip) ทางสถานบริการ ผู้ชำนาญการจะทำการเตรียมอุปกรณ์ที่ปลอดเชื้อ เช่น เข็มฉีดยา สายน้ำเกลือ และวิตามิน จากนั้นจะเริ่มการให้สารละลายผ่านทางหลอดเลือด โดยใช้เวลาประมาณ 30 – 60 นาที ขึ้นอยู่กับสูตรหรือโปรแกรมที่เลือก

ดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip) กี่ครั้งเห็นผล

โดยส่วนใหญ่นั้น การดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip) สามารถเห็นผลในเรื่องความกระจ่างใสของผิวหรือความสดชื่นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ดริป ในส่วนของผลลัพธ์ระยะยาวนั้น แนะนำให้ทำ 4-6 ครั้ง (โดยเว้นระยะ 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง) เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานมากยิ่งขึ้น

ดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip) อยู่ได้นานแค่ไหน

ผลลัพธ์ที่ได้จากการดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip) จะอยู่ได้นาน 1-2 เดือน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองด้วย ไม่ว่าจะเป็น การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

การเตรียมตัวก่อน-หลัง ดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip)

การเตรียมตัวก่อนและหลังดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip) เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็น

  • การรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อแจ้งประวัติด้านสุขภาพ โรคประจำตัว การแพ้ยา หรือแพ้วิตามินต่างๆ เพื่อให้แพทย์ได้เลือกสูตรวิตามินที่เหมาะสม รวมถึงในกรณีที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือมีปัญหาเกี่ยวกับไต ก็ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง
  • การดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ ช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะในระหว่างที่ดริปวิตามิน รวมถึงการพักผ่อนที่เพียงพอก็จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินได้ดีมากยิ่งขึ้น
  • การงดดื่มคาเฟอีก หรือ เครื่องดื่มที่มีแอลดอฮอล์ จะช่วยให้ร่างกายไม่สูญเสียน้ำและลดประสิทธิภาพในการดูดซึมของวิตามิน

ภายหลังการดริปวิตามินนั้น ควรดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อช่วยส่งเสริมการดูดซึมวิตามินในร่างกาย หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายเหนื่อยล้าจนเกินไป นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสังเกตร่างกายหากมีอาการผิดปกติ เช่น อาการบวมแดง หรือ อาการแพ้ ฯลฯ ควรรีบพบแพทย์โดยทันที

ที่ LINNA Clinic นั้น มีสูตรของกาดริปวิตามินผิว (Vitamin Drip) ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น โปรแกรม Liver Detox โปรแกรม Immune Enhance โปรแกรม Myers’ Cocktail และโปรแกรม Skin Glow+ เป็นต้น ทั้งยังให้ความสำคัญกับการประเมินสุขภาพรายบุคคลเพื่อแนะนำสูตรที่เหมาะสมที่สุด รวมถึงมีคำแนะนำทั้งก่อนและหลังการดริป หากสนใจสามารถติดต่อ LINNA Clinic เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการโดยตรงได้เลยทันที

Related Articles

รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Exosome อัปเดตข้อมูล Exosome ปี 2024

Exosome สกินบูสเตอร์ตัวดังที่ยังคงกระแสมาแรงอย่างต่อเนื่องด้วยคุณสมบัติอันแสนโดดเด่นของ Exosome ที่ตัวยามีค่าความบริสุทธิ์สูงและมีอนุภาคขนาดเล็กเพียง 30-150 nm. ซึ่งภายในอัดแน่นไปด้วยสารชีวโมเลกุลที่จำเป็นต่อผิวมากกว่า 1,000 ชนิด การทำ Exosome หรือ Exosome Treatment จึงเป็นหัตถการที่ช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างล้ำลึก ทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงและอ่อนเยาว์มากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้คุณเป็นเจ้าของผิวสวยดูเปล่งปลั่งราวกับกระจก (Glass Skin) ที่ใครๆ ต่างก็ใฝ่ฝัน Exosome ช่วยเรื่องอะไร? Exosome เหมือนกับ Stem Cell ไหม อันตรายหรือเปล่า บทความนี้จาก LINNA Clinic ชวนไขข้อสงสัยทุกคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Exosome ฉบับอัปเดตปี 2024 Table of Contents Exosome ช่วยเรื่องอะไร ตัวยา Exosome ที่สกัดได้จากเซลล์ต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตอัดแน่นด้วยสารชีวโมเลกุลรวมกว่า 1,000 ชนิด เช่น Amino acids, Nucleic acids, Hyaluronic acid (HA) Growth

Exosome กู้ผิวโทรมได้จริงหรือแค่กระแส ทำ Exosome อันตรายไหม?

เทรนด์ผิวสวยในปัจจุบันไม่ใช่แค่เพียงการเป็นเจ้าของผิวขาวใส มีออร่า แต่เป็นการมีคุณภาพผิว (Skin Quality) ที่ดูดีจากภายในสู่ภายนอก หากใครที่กำลังมองหาวิธีปรับหน้าโทรมให้กลายเป็นหน้าใส คืนความยืดหยุ่นชุ่มชื้นให้ผิวแข็งแรงได้อย่างล้ำลึกจากภายในต้องไม่พลาด Exosome สกินบูสเตอร์ตัวดังที่สามารถตรงเข้าฟื้นฟูเซลล์ผิวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ Exosome คืออะไร? ดีจริงไหม ทำ Exosome อันตรายหรือเปล่า พร้อมวิธีดูแลตัวเองหลังทำ Exosome ดูคำตอบได้ในบทความนี้จาก LINNA Clinic Table of Contents Exosome คืออะไร Exosome (อ่านว่า เอ็กโซโซม) คือ นวัตกรรมใหม่ของการฟื้นบำรุงผิวอย่างล้ำลึกด้วยการใช้ Exosome ซึ่งสกัดแยกจากเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) ของสิ่งมีชีวิตด้วยเทคโนโลยี mRNA ทำให้ได้ Exosome บริสุทธิ์สูงและมีลักษณะเป็นถุงทรงกลมขนาดเล็ก 30-150 nm. ภายในอัดแน่นไปด้วยสารชีวโมเลกุลที่จำเป็นต่อกระบวนการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวตลอดไปจนถึงช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน (Collagen) และเส้นใยอีลาสติน (Elastin) ใหม่ๆ ตามธรรมชาติของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปัจจุบันจึงนิยมทำ Exosome หรือที่เรียกว่าการทำ Exosome Treatment ตามจุดต่างๆ ทั่วใบหน้าเพื่อช่วยปรับปรุงและบำรุงผิวให้ดูเปล่งปลั่ง

แนะนำ 6 วิธีกระชับรูขุมขนแบบไว เห็นผลจริง แถมหน้าใสขึ้นด้วย

ปัญหารูขุมขนกว้างมักทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียนและเป็นสาเหตุของการเกิดสิวหรือหน้ามันได้ง่าย การกระชับรูขุมขนและปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้นจึงเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ หากคุณกำลังมองหาวิธีที่ได้ผลเร็วและเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน มาดู 5 วิธีที่ช่วยกระชับรูขุมขนแบบไว พร้อมเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวหน้า 1. ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึกด้วยโทนเนอร์ที่มีกรดซาลิไซลิก การทำความสะอาดรูขุมขนเป็นขั้นตอนสำคัญในการลดความมันและสิ่งสกปรกที่อุดตัน โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ช่วยละลายคราบมันและสิ่งสกปรกในรูขุมขน ลดการเกิดสิว และกระชับรูขุมขนเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง แนะนำให้ใช้หลังจากล้างหน้าเพื่อเตรียมผิวสำหรับการบำรุงขั้นถัดไป นอกจากนี้ยังควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 30+ อย่างเป็นประจำ รวมทั้งระมัดระวังในเรื่องของการใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA/BHA อีกด้วย เพราะอาจทำให้ผิวแห้งหรือเกิดการระคายเคืองได้ 2. มาสก์โคลนเพื่อดูดซับน้ำมันส่วนเกิน มาสก์โคลนช่วยขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนดูกระชับและผิวหน้าสะอาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ควรใช้มาสก์โคลนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โดยปล่อยให้มาสก์โคลนแห้งบนผิวหน้า ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนี้มาสก์จะทำหน้าที่ดูดซับน้ำมันและสิ่งสกปรกจากผิวหน้าลงสู่ชั้นล่าง เมื่อเริ่มรู้สึกว่ามาสก์แห้งและตึงผิว ควรล้างออกด้วยน้ำอุ่น การใช้มาส์กโคลนนั้น นอกจากจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกบนผิวหน้าแล้ว ก็ยังช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น ลดความมันส่วนเกิน ช่วยกระชับรูขุมขน และทำให้ผิวหน้าดูสะอาดสดใสขึ้น 3. การใช้น้ำแข็งประคบผิวหน้าสำหรับการกระชับรูขุมขนทันที วิธีนี้ง่ายและได้ผลทันทีเมื่อคุณต้องการให้ผิวดูกระชับ โดยการนำผ้าสะอาดห่อน้ำแข็งแล้วประคบเบา ๆ บนผิวหน้า น้ำแข็งจะช่วยหดตัวรูขุมขนชั่วคราว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น เหมาะสำหรับใช้ก่อนแต่งหน้าเพื่อช่วยให้เมคอัพติดทนนาน

Scroll to Top