โบท็อก (Botox) VS ร้อยไหมให้หน้าเรียว อย่างไหนดีกว่ากัน

เป็นคำถามที่คนไข้หลายคนถามหมอมาเยอะมากๆ หมอเลยขอมาอธิบายว่าการเลือกระหว่างโบท็อก (Botox) หรือร้อยไหมหน้าเรียวขึ้นอยู่กับใบหน้าลักษณะรูปหน้า ลักษณะปัญหา ความต้องการและความคาดหวังของคนไข้แต่ละคน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ต้องการแก้ ระยะเวลาการพักฟื้น ระยะเวลาความคงทนหรือว่าผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในการทำเป็นต้น

ก่อนที่จะบอกว่าโบท็อก (Botox) หรือร้อยไหมดีกว่ากันหมอขออนุญาตอธิบายว่าโบท็อกช่วยเรื่องอะไรและร้อยไหมช่วยเรื่องอะไร และกลไกการทำงานแตกต่างกันอย่างไรค่ะ

Table of Contents

โบท็อก (Botox) กับร้อยไหม ต่างกันอย่างไร

โบท็อก (Botox) และร้อยไหม เป็นหัตถการความงามยอดนิยมที่ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียและเหมาะกับปัญหาที่แตกต่างกัน มาลองดูกันค่ะว่าทั้ง 2 หัตถการนี้แต่ละวิธีต่างกันอย่างไร

โบท็อก (Botox)

กลไกการทำงาน: เป็นสารโปรตีนบริสุทธิ์สกัดจากแบคทีเรีย ช่วยยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ผิวหนังจึงตึงขึ้นในด้านความงามนำมาใช้ในด้านของการปรับรูปหน้าทำให้หน้าเรียวขึ้นและใช้ในการยกกระชับรวมถึงการลดริ้วรอยและกระตุ้นคลอลาเจนให้หน้าดูใสขึ้นด้วย

ร้อยไหม

กลไกการทำงาน: การร้อยไหมซึ่งจะมีไหมหลายชนิด แต่ไหมที่หมอจะนำมาอธิบายในครั้งนี้คือไหมก้างปลา ไหมก้างปลาเป็นไหมละลายชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ มีเงี่ยงขนาดเล็กอยู่ตามแนวเส้นไหม ซึ่งเงี่ยงเหล่านี้จะเกี่ยวดึงกับเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เมื่อแพทย์ร้อยไหมก้างปลาเข้าไปใต้ผิวหนัง เงี่ยงของไหมก้างปลาก็จะเกี่ยวดึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังให้ยกตัวขึ้น ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นกระชับขึ้น ไหมก้างปลาเป็นไหมละลาย สามารถร้อยได้ทุกบริเวณที่ต้องการยกกระชับ เช่น หน้าผาก หางตา หว่างคิ้ว ขมับ แก้ม คาง เหนียง เป็นต้น ผลลัพธ์ของการร้อยไหมก้างปลาจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับปริมาณไหมที่ใช้ร้อย ยี่ห้อของไหม และการดูแลรักษาหลังการร้อยไหม

นอกเหนือจากสิ่งที่หมอได้ล่าวมาข้างต้นจะมีปัจจัยที่อยากให้คำนึงถึงความแตกต่างกันระหว่าง 2 หัตถการนี้เช่น

ความเจ็บ

  • โบท็อก (Botox) กราม: เจ็บน้อย ใช้เวลาทำไม่นานใช้เพียงน้ำแข็งประคบบริเวณที่ต้องการฉีดให้ชาหลังจากนั้นหมอจึงทำการฉีดโบท็อก ค่ะ
  • ร้อยไหม: อาจจะเจ็บมากกว่าขึ้นอยู่กับชนิดของไหมและเทคนิคการร้อย อาจใช้เวลาทำนานกว่าเนื่องจากต้องมีการแปะยาชาประมาณ 30-40 นาทีก่อนหลังจากนั้นมีการฉีดบล็อคยาชาซึ่งความเจ็บจะมีเพียงตอนที่ฉีดบล็อคยาชาคนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บระหว่างทำ หลังจากทำการร้อยไหมจะมีความเจ็บและระบมมากกว่าโบท็อก ค่ะ

ค่าใช้จ่าย: 

  • โบท็อก (Botox) กราม :  ขึ้นอยู่กับยูนิตที่ใช้ ปริมาณที่ฉีด ยี่ห้อราคาจะแตกต่างกันออกไป
  • ร้อยไหม: ขึ้นอยู่กับชนิดและประเภทของไหม จำนวนเส้นที่ร้อย ยี่ห้อของไหมราคาโดยรวมมักสูงกว่าการฉีดโบท็อกกราม

ความแตกต่างความชำนาญของแพทย์จำเป็นในการร้อยไหมและฉีดโบท็อก (Botox)  จะเห็นได้ว่าความชำนาญของแพทย์ที่ร้อยไหมมีมากกว่าฉีดโบท็อก (Botox) เนื่องจากต้องใช้ทักษะการร้อยไหมอย่างแม่นยำมากกว่า รวมถึงต้องมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังอีกด้วย

โบท็อก (Botox) กราม เหมาะกับใคร

เหมาะกับผู้ที่มีทั้งปัญหากรามใหญ่อยากลดหน้าเหลี่ยม เนื่องจากโบท็อก (Botox) กรามจะช่วยคลายการทำงานของกล้ามเนื้อกราม ทำให้กล้ามเนื้อกรามอ่อนแรงลง ส่งผลให้กรามดูเล็กลง หน้าดูเรียวขึ้น ในกรณีที่หน้าหย่อนคล้ายไม่มีกรามเลย ต้องการฉีดโบท็อก (Botox) กรามอาจไม่เห็นผลเท่ากับการร้อยไหม เนื่องจากโบท็อกกรามจะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อกราม ทำให้กล้ามเนื้อกรามอ่อนแรงลง ส่งผลให้กรามดูเล็กลง แต่ไม่สามารถยกกระชับผิวบริเวณกรามได้

ร้อยไหม เหมาะกับใคร

ร้อยไหมเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากๆและอยากยกกระชับใบหน้าเยอะมาก เนื่องจากร้อยไหมจะช่วยดึงรั้งผิวให้ยกกระชับขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูเต่งตึงขึ้น สำหรับผู้ที่กรามใหญ่มากและมีผิวหน้าที่ไม่คล้อยต้องการให้หน้าเรียวและต้องการยกกระชับด้วยการร้อยไหมอาจไม่เห็นผลเท่ากับการฉีดโบท็อกค่ะ

โบท็อก (Botox) กราม กับร้อยไหมทำพร้อมกันได้ไหม

โบท็อก (Botox) กับร้อยไหม สามารถทำพร้อมกันได้แต่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยปัหาของแต่ละบุคคล และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมเป็นรายบุคคลค่ะ

หมอแนะนำกรณีที่สามารถทำพร้อมกันได้มีด้วยกันดังนี้

  • ปัญหาผิวหย่อนคล้อยร่วมกับกรามใหญ่: หากใบหน้ามีปัญหาทั้งผิวหย่อนคล้อยและกรามใหญ่ การทำโบท็อก (Botox) กรามควบคู่กับการร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวสามารถช่วยเสริมผลลัพธ์ให้ดีขึ้นได้ โดยโบท็อกจะลดขนาดกราม ส่วนร้อยไหมจะช่วยดึงรั้งผิว
  • ต้องการผลลัพธ์แบบครอบคลุม: หากต้องการแก้ไขทั้งกรามใหญ่และยกกระชับผิว การทำร่วมกันอาจช่วยให้ใบหน้าดูเรียวและเต่งตึงขึ้นค่ะ

โดยหมอจะแนะนำให้ฉีดโบท็อก (Botox) กรามก่อนเพื่อลดขนาดของกรามผิวจะเกิดการหย่อนคล้องเนื่องจากกรามมีขนาดเล็กลงหลังจากนั้นจึงทำหัตถการร้อยไหมยกกระชับ จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพกับคนไข้มากที่สุด กรณีที่สามารถทำพร้อมกันได้มีดังนี้ค่ะ

ข้อดีของการทำพร้อมกัน

  • ประหยัดเวลา: ไม่ต้องเสียเวลามาทำหลายครั้ง
  • ผลลัพธ์ครอบคลุม: แก้ไขปัญหาผิวได้ทั้งริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
  • ลดความเจ็บ: คนไข้จะรู้สึกเจ็บทีเดียวหากทำหัถการพร้อมกัน

ข้อเสียของการทำพร้อมกัน

  • ค่าใช้จ่ายอาจสูงขึ้น: ขึ้นอยู่กับปริมาณยา จำนวนเส้นของไหม และค่าบริการแพทย์

กรณีที่แพทย์ที่ปรึกษาไม่แนะนำให้ทำโบท็อกและร้อยไหมพร้อมกันหรือทำคนละวัน โดยส่วนใหญ่หมอจะแนะนำให้ฉีดโบท็อกกรามก่อนเพื่อให้ลดขนาดของกรามก่อนหลังจากนั้นมาร้อยไหมเพื่อยกกระชับ จะส่งผลดีกับคนไข้ค่ะ

โบท็อก (Botox) กับร้อยไหมอะไรอยู่ได้นานกว่ากัน

ร้อยไหมกับโบท็อก (Botox) เป็นหัตถการที่ทำแล้วผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ถาวร โดยเฉลี่ยแล้วร้อยไหมจะอยู่ได้นานกว่าโบท็อก (Botox) โดยร้อยไหมอยู่ได้นานประมาณ 1- 2 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของไหม ส่วนโบท็อก (Botox) กราม อยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือนสูงสุด 8 เดือน – 1 ปี ในบางเคส ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและการใช้ชีวิตของคนไข้แต่ละคนค่ะ 

อยากปรับหน้าเรียวเลือกโบท็อก (Botox) หรือร้อยไหมดี

การเลือกระหว่างโบท็อก (Botox) กับร้อยไหมเพื่อปรับหน้าเรียวนั้น ขึ้นอยู่กับปัญหาและความต้องการของแต่ละบุคคลเป็นหลัก โดยสามารถพิจารณาได้จากปัจจัยดังต่อไปนี้

  • ปัญหาที่พบ: หากมีปัญหากรามใหญ่ หน้าเหลี่ยม โบท็อก (Botox) จะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณกราม ทำให้กรามเล็กลงและใบหน้าเรียวขึ้น ส่วนหากมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ร้อยไหมจะช่วยยกกระชับผิว ทำให้ใบหน้าดูเต่งตึงและเรียวขึ้น
  • อายุ: โดยทั่วไปแล้ว โบท็อก (Botox) จะเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณกรามเริ่มมีการพัฒนาเต็มที่แล้ว ส่วนร้อยไหมจะเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เนื่องจากผิวเริ่มหย่อนคล้อย
  • สภาพผิว: หากมีผิวที่แข็งแรง ทนต่อแรงตึงได้ดี ร้อยไหมจะเหมาะสมมากกว่า เนื่องจากร้อยไหมจะดึงผิวให้กระชับขึ้น แต่หากมีผิวที่บอบบาง แพ้ง่าย โบท็อก (Botox) จะเหมาะสมมากกว่า เนื่องจากโบท็อก (Botox) เป็นสารที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อโดยตรง จึงมีผลข้างเคียงน้อยกว่า

หมอขอสรุปว่าหากต้องการปรับหน้าเรียวโดยเน้นไปที่การลดขนาดกราม โบท็อก (Botox) จะเหมาะสมมากกว่า แต่หากต้องการยกกระชับผิวที่คล้อยมากๆและต้องการให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานและเห็นผลชัดเจนที่สุด ร้อยไหมจะเหมาะสมมากกว่า ดังนั้นจึงต้องขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วย อย่างไรก็ตาม ลินนาคลินิก (LINNA Clinic) แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินปัญหาและความต้องการที่แท้จริงก่อนตัดสินใจทำหัตถการใดๆค่ะ

Related Articles

แนะนำ 6 วิธีกระชับรูขุมขนแบบไว เห็นผลจริง แถมหน้าใสขึ้นด้วย

ปัญหารูขุมขนกว้างมักทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียนและเป็นสาเหตุของการเกิดสิวหรือหน้ามันได้ง่าย การกระชับรูขุมขนและปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้นจึงเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ หากคุณกำลังมองหาวิธีที่ได้ผลเร็วและเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน มาดู 5 วิธีที่ช่วยกระชับรูขุมขนแบบไว พร้อมเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวหน้า 1. ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึกด้วยโทนเนอร์ที่มีกรดซาลิไซลิก การทำความสะอาดรูขุมขนเป็นขั้นตอนสำคัญในการลดความมันและสิ่งสกปรกที่อุดตัน โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ช่วยละลายคราบมันและสิ่งสกปรกในรูขุมขน ลดการเกิดสิว และกระชับรูขุมขนเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง แนะนำให้ใช้หลังจากล้างหน้าเพื่อเตรียมผิวสำหรับการบำรุงขั้นถัดไป นอกจากนี้ยังควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 30+ อย่างเป็นประจำ รวมทั้งระมัดระวังในเรื่องของการใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA/BHA อีกด้วย เพราะอาจทำให้ผิวแห้งหรือเกิดการระคายเคืองได้ 2. มาสก์โคลนเพื่อดูดซับน้ำมันส่วนเกิน มาสก์โคลนช่วยขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนดูกระชับและผิวหน้าสะอาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ควรใช้มาสก์โคลนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โดยปล่อยให้มาสก์โคลนแห้งบนผิวหน้า ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนี้มาสก์จะทำหน้าที่ดูดซับน้ำมันและสิ่งสกปรกจากผิวหน้าลงสู่ชั้นล่าง เมื่อเริ่มรู้สึกว่ามาสก์แห้งและตึงผิว ควรล้างออกด้วยน้ำอุ่น การใช้มาส์กโคลนนั้น นอกจากจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกบนผิวหน้าแล้ว ก็ยังช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น ลดความมันส่วนเกิน ช่วยกระชับรูขุมขน และทำให้ผิวหน้าดูสะอาดสดใสขึ้น 3. การใช้น้ำแข็งประคบผิวหน้าสำหรับการกระชับรูขุมขนทันที วิธีนี้ง่ายและได้ผลทันทีเมื่อคุณต้องการให้ผิวดูกระชับ โดยการนำผ้าสะอาดห่อน้ำแข็งแล้วประคบเบา ๆ บนผิวหน้า น้ำแข็งจะช่วยหดตัวรูขุมขนชั่วคราว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น เหมาะสำหรับใช้ก่อนแต่งหน้าเพื่อช่วยให้เมคอัพติดทนนาน

Ultraformer คืออะไร ราคาเท่าไหร่ ช่วยยกกระชับได้นานถึง 1 ปี จริงไหม

อยากมีผิวสวยกระชับ ดูเต่งตึง ไม่มีริ้วรอยร่องลึกและความเหี่ยวย่นต่างๆ คอยกวนใจแต่ไม่อยากผ่าตัดยกกระชับ ไม่อยากฉีดสารสังเคราะห์ทั้งพวกโบท็อกซ์ (Botox) หรือฟิลเลอร์ (Filler) เข้าสู่ร่างกายทำได้หรือไม่? โจทย์งานผิวจะยากเพียงใดแต่นวัตกรรมยกกระชับผิวอย่าง Ultraformer ก็เอาอยู่ด้วยสุดยอดเทคโนโลยีเพื่อผิวยกกระชับ ลดริ้วรอยและกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ๆ ใต้ชั้นผิวได้อย่างดีเยี่ยมโดยไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ภายในครั้งแรกที่ทำ สำหรับใครที่ต้องการยกกระชับผิวให้สวยหล่อดูมั่นใจมากขึ้นและกำลังมีแพลนทำ Ultraformer แต่ยังไม่มั่นใจว่า Ultraformer ดีจริงไหม ราคาเท่าไหร่ หลังทำ Ultraformer ช่วยคงผลลัพธ์ผิวยกกระชับได้นานถึง 1 ปี จริงไหม? มาดูทุกคำตอบไปพร้อมๆ กันได้ในบทความนี้จาก Linna Clinic (ลินนา คลินิก) Table of Contents Ultraformer คืออะไร? Ultraformer (อัลตราฟอร์เมอร์) คือ เทคโนโลยีเพื่อการยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวสวยได้ทรงวีเชฟ (V-shape) โดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยการยิงคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงและมีความเฉพาะเจาะจงแบบ MMFU (Micro & Macro Focus Ultrasound) เข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังและสามารถลงลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อส่วนบนหรือผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular

โหงวเฮ้งผู้หญิง มีเสน่ห์ โหงวเฮ้งใบหน้า ผู้หญิง เสริมเสน่ห์ สร้างบารมี ปรับหน้าสวยทั้งทีต้องดีทุกด้าน

โหงวเฮ้งผู้หญิง มีเสน่ห์ ความสวยที่ไม่ใช่แค่เพียงถูกหลักความงามทางวิทยาศาสตร์อย่าง Golden Ratio แต่ยังต้องสอดคล้องเข้ากับหลักโหงวเฮ้ง (Mien Shiang) ศาสตร์ของการทำนายทายทักคุณสมบัติและอุปนิสัยของแต่ละบุคคลได้จากลักษณะภายนอก มากไปกว่านั้นคุณผู้หญิงหลายๆ ท่านยังมีความเชื่อว่าโหงวเฮ้งใบหน้าที่ดีจะช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ทำให้ใบหน้าสวยงามน่ามองทั้งยังเป็นการช่วยเติมเต็มพลังบวกดึงดูดแต่เรื่องดีๆ ส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จในหลากหลายด้านของชีวิตไม่ว่าจะเป็นการเงิน การงาน สุขภาพ ความรักและครอบครัว สาวๆ คนไหนที่กำลังศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโหงวเฮ้งใบหน้า ผู้หญิง โหงวเฮ้งผู้หญิง มีเสน่ห์ ต้องเป็นแบบไหน? ปรับโหงวเฮ้งใบหน้าให้ดีขึ้น ทำได้อย่างไร? ตามมาเสริมพลังความสวยด้วยหลักโหงวเฮ้งใบหน้าในบทความนี้ของลินนา คลินิก (LINNA Clinic) กันได้เลยค่ะ ลักษณะโหงวเฮ้งผู้หญิง มีเสน่ห์ ใบหน้าผู้หญิง ที่ดีต้องเป็นอย่างไร? หากอิงจากตำราความเชื่อของชาวจีนแล้วนั้นลักษณะโหงวเฮ้งใบหน้า ผู้หญิงที่สวยและมีเสน่ห์ประกอบไปด้วย 5 ส่วนสำคัญ ได้แก่ หน้าผาก ตา จมูก ปาก และคาง โดยที่ทุกอย่างจะต้องมีสัดส่วนที่สมดุลรับเข้ากันได้อย่างพอเหมาะ ดังนี้ หน้าผาก หน้าผากนับเป็นส่วนที่อยู่ด้านบนสุดของใบหน้าจึงเปรียบเสมือนจุดพลังงานสำคัญที่จะช่วยเสริมโชคชะตา โหงวเฮ้งผู้หญิง มีเสน่ห์ ที่บริเวณหน้าผากต้องมีลักษณะกลมมน มีความโหนกนูนในระดับที่พอเหมาะไม่ยกสูงหรือราบเรียบจนเกินไป และที่สำคัญโหงวเฮ้งหน้าผากผู้หญิงที่ดูดี ช่วยเพิ่มบารมี โชคลาภวาสนาจะต้องเป็นหน้าผากที่ดูเกลี้ยงเกลา ไม่มีรอยบุ๋ม ไม่มีรอยแผลเป็นหรือริ้วรอยร่องลึกต่างๆ

Scroll to Top