โบท็อก (Botox) คืออะไรทำงานอย่างไร อันตรายไหม แพ้ได้ไหม คุ้มค่าไหม

โบท็อก (Botox) คือ ชื่อทางการค้าของ โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) ซึ่งเป็นโปรตีนบริสุทธิ์ที่สกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) แม้จะเป็นสารพิษ แต่เมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะนำมาฉีดเพื่อประโยชน์ด้านความงามและการแพทย์ โดยออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของระบบประสาทบริเวณปลายประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ได้รับการฉีดไม่สามารถหดตัวได้ชั่วคราวส่งผลให้ริ้วรอยบนใบหน้าจางลง ใบหน้าเรียวขึ้นและสามารถรักษาโรคบางชนิดได้อีกด้วยค่ะ

Table of Contents

โบท็อก (Botox) มีกระบวนการทำงานอย่างไร

หลายท่านอาจสงสัยว่าโบท็อก (Botox) ทำงานอย่างไร ดังนั้นหมอขอชี้แจงดังนี้ค่ะ

  1. เริ่มจากแพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดโบท็อกเข้าไปยังบริเวณชั้นกล้ามเนื้อที่ต้องการ โดยความลึกของเข็มจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของกล้ามเนื้อ
  2. จากนั้นโบท็อกจะเข้าสู่ปลายประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ
  3. โบท็อกจะยับยั้งการปล่อยสารสื่อประสาท อะเซทิลโคลีน (acetylcholine) ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณจากปลายประสาทไปยังกล้ามเนื้อ
  4. เมื่อไม่มีอะเซทิลโคลีน กล้ามเนื้อจะไม่สามารถหดตัวได้
  5. เนื่องจากกล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ จึงส่งผลให้ริ้วรอยบนใบหน้าจึงจางลงค่ะ

ผลลัพธ์
– ผลของการฉีดโบท็อก (Botox) จะเริ่มเห็นภายใน 3-7 วัน
– ผลของการฉีดโบท็อก (Botox) จะคงอยู่ประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิต แบรนด์ที่ใช้ และจุดที่ฉีดค่ะ
– หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะกลับมาทำงานเป็นปกติ และริ้วรอยอาจกลับมาปรากฏอีกครั้ง

ตามจริง โบท็อก (Botox) คือชื่อทางการค้าของ โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ของอเมริกา ยี่ห้อ Allergen แต่เพื่อให้เข้าใจง่ายหมอขอใช้คำว่าโบท็อก เพื่อเรียกแทนสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อใดก็ตามค่ะ
โบท็อก (Botox) สามารถให้ประโยชน์ทั้งในด้านความงามและด้านสุขภาพอื่นๆ ซึ่งหมอคิดว่าหลายๆท่านอาจยังไม่ทราบมี 10 อย่างที่เรานิยมใช้โบท็อก มีดังนี้ค่ะ

1. ลดริ้วรอยบนใบหน้า: โบท็อก (Botox) ช่วยลดริ้วรอยเช่น รอยตีนกา ริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยบริเวณหว่างคิ้ว โดยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอย ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

2. ลดกราม ทำให้หน้าเรียว: โบท็อก (Botox) สามารถทำให้กรามเล็กลงและทำให้หน้าเรียวขึ้นได้อย่างธรรมชาติ

3. ยกกระชับกรอบหน้า: โบท็อก (Botox) ในบริเวณกรอบหน้าสามารถช่วยให้หน้าดูยกกระชับและมีมิติมากขึ้น โดยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่หย่อนคล้อย ทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวา

4. กระชับรูขุมขนกระตุ้นคอลลาเจน: โบท็อก (Botox) สามารถช่วยลดขนาดรูขุมขนทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ให้ความยืดหยุ่นและความแข็งแรงแก่ผิว 

5. ปรับปรุงรูปลักษณ์ของรอยยิ้ม: ในบางครั้งโบท็อก (Botox) สามารถใช้ปรับปรุงรูปลักษณ์ของรอยยิ้ม โดยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณปากและรอบ ๆ ทำให้รอยยิ้มดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น

6. บรรเทาอาการไมเกรน: การฉีดโบท็อก (Botox) ช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดหัวในผู้ที่เป็นไมเกรนโดยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง

7. รักษาเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis): โบท็อก (Botox) ช่วยลดการผลิตเหงื่อในบริเวณที่ฉีด เช่น รักแร้ มือ และเท้า โดยการยับยั้งการส่งสัญญาณไปยังต่อมเหงื่อ

8. รักษาสภาวะกล้ามเนื้อกระตุก: ใช้โบท็อก (Botox) ในการรักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อในบริเวณต่างๆ ของร่างกายช่วยลดอาการกระตุกและความเจ็บปวดที่เกี่ยวข้อง

9. ช่วยรักษา Office Syndrome: โบท็อก (Botox) สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและความเครียดที่เกิดจาก Office Syndrome โดยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณคอ ไหล่ และหลัง ซึ่งมักจะตึงและปวดเนื่องจากการนั่งทำงานนานๆ

10. ช่วยบรรเทาการนอนกัดฟัน: โบท็อก (Botox) สามารถช่วยลดการกัดฟันขณะนอนหลับได้ โดยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกร ช่วยลดความเครียดที่ส่งผลต่อฟันและขากรรไกร

โบท็อก (Botox) อันตรายไหม

คำถามนี้เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย หมอขออนุญาตตอบค่ะว่าการฉีดโบท็อก (Botox) จะอันตรายหรือไม่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยทั่วไปหากฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้ยาแท้ ปริมาณยาเหมาะสม และดูแลตัวเองหลังฉีดอย่างถูกวิธี โอกาสเกิดอันตรายถือว่าน้อยมากค่ะ

แต่ทั้งนี้ก็มีปัจจัยที่ทำให้การฉีดโบท็อก (Botox) มีความเสี่ยงมากขึ้น ได้แก่

  • ฉีดกับสถานพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐานหรือแพทย์ที่ไม่มีใบอนุญาต: เสี่ยงได้รับยาปลอม ยาหมดอายุ เทคนิคการฉีดผิดพลาด ติดเชื้อ
  • ใช้ยาปริมาณมากเกินไป: ใบหน้าอาจดูแข็ง เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • มีโรคประจำตัวบางอย่าง: เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคติดต่อเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
  • แพ้ยา: อาจมีอาการแพ้รุนแรง แต่อาการนี้พบได้น้อยมาก

ความเสี่ยงและผลข้างเคียงของการฉีดโบท็อก (Botox)

โบท็อก (Botox) มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งความเสี่ยงและผลข้างเคียงเหล่านี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยค่ะ  เช่น  ปริมาณของโบท็อกที่ใช้  เทคนิคการฉีด  คุณภาพของผลิตภัณฑ์  และสุขภาพของผู้เข้ารับการฉีด  ก่อนตัดสินใจฉีด หมออยากให้ลองอ่านรายละเอียดกันก่อนค่ะ

ความเสี่ยง

  • อันตรายถึงชีวิต: โดยปกติโบท็อก (Botox) จะปลอดภัยเมื่อใช้ปริมาณที่เหมาะสมและฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีฉีดผิดตำแหน่ง  ใช้ปริมาณมากเกินไป  หรือผู้เข้ารับการฉีดมีโรคประจำตัวบางชนิด  เช่น  โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง  โรคภูมิแพ้รุนแรง  เป็นต้น
  • การติดเชื้อ:  มีความเสี่ยงติดเชื้อหลังการฉีด  หากคลินิกและแพทย์ไม่รักษาความสะอาด  หรือใช้เข็มฉีดยาซ้ำผลข้างเคียงจากยาปลอม:  การใช้โบท็อก (Botox) ปลอมเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้  เนื่องจากสารที่ผสมอยู่ในยาปลอมอาจเป็นอันตราย  ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ยี่ห้อที่ผ่านอย. และเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน

ผลข้างเคียงทั่วไป

  • รอยเขียวช้ำ บวม แดง:  เป็นอาการปกติ  มักเกิดขึ้นหลังการฉีดและหายไปเองภายใน 1-2 อาทิตย์
  • ปวดศีรษะ:  อาจเกิดขึ้นได้หลังการฉีด  แต่จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
  • หน้าแข็งตึง:  อาจเกิดขึ้นได้หากฉีดโบท็อกปริมาณมากเกินไป  โดยทั่วไปจะคลายลงภายใน 2-3 อาทิตย์
  • หนังตาตก มุมปากตก:  อาจเกิดขึ้นได้หากฉีดผิดตำแหน่ง  เป็นผลข้างเคียงชั่วคราว  ประมาณ 1 เดือนจะค่อยๆดีขึ้น
  • อาการแพ้:  แม้เกิดขึ้นได้น้อย  แต่ก็มีความเสี่ยงแพ้โบท็อกซ์ได้  สังเกตอาการผื่นคัน  บวมแดง  หายใจลำบาก

ความคุ้มค่าของการฉีดโบท็อก (Botox)

ความคุ้มค่าของการฉีดโบท็อก (Botox) ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งผลลัพธ์ที่คาดหวัง งบประมาณ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้และสภาพผิวของคุณ โดยรวมแล้วโบท็อก (Botox) อาจเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับบางคน แต่ไม่ใช่กับทุกคนนะคะ หมอขอเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียดังนี้ค่ะ

ข้อดี

  • ลดเลือนริ้วรอย: โบท็อกช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงออกทางสีหน้า เช่น รอยเหี่ยวย่นหน้าผาก หางตา ตีนกาทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และเรียบเนียนขึ้น
  • ปรับรูปหน้า: โบท็อกสามารถลดขนาดกล้ามเนื้อกราม แก้ปัญหาหน้าบาน ช่วยให้กรอบหน้าดูเรียวขึ้น
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน: ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกสามารถอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกฉีด
  • ปลอดภัย: เมื่อฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้โบท็อกแท้ การฉีดโบท็อกมีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราว
  • ไม่ต้องพักฟื้น: หลังจากฉีดโบท็อก คุณสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

ข้อเสีย

  • ราคาค่อนข้างสูง: ราคาขึ้นอยู่กับปริมาณโบท็อก ยี่ห้อ ชื่อเสียงของคลินิก และแพทย์ผู้ทำ
  • ผลลัพธ์ไม่ถาวร: ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกจะค่อยๆ จางลง ต้องฉีดซ้ำเป็นระยะ
  • ความเสี่ยงจากผลข้างเคียง: แม้จะปลอดภัย แต่ก็มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เช่น อาการบวม แดง ช้ำ จุดฉีดปวดเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดยากขึ้น
  • อาจไม่เหมาะกับทุกคน: ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีโรคประจำตัวบางชนิด กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และผู้ที่มีผิวหนังอ่อนแอมากๆ หรือแพ้สารที่อยู่ในโบท็อก

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อก (Botox) ควรศึกษาข้อมูลและรีวิวของคลินิกก่อนตัดสินใจฉีด เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับบริการที่ดีและปลอดภัย เลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือและต้องใช้โบท็อก (Botox) แท้เท่านั้น หากสนใจฉีดโบท็อก (Botox) ทาง ลินนาคลินิก (LINNA CLINIC) เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพราะเราใช้โบท็อก  (Botox) แท้ทุกยี่ห้อ ตรวจสอบได้และ แพทย์ที่ฉีดมีประสบการณ์สูงค่ะ

Related Articles

Ultraformer คืออะไร ราคาเท่าไหร่ ช่วยยกกระชับได้นานถึง 1 ปี จริงไหม

อยากมีผิวสวยกระชับ ดูเต่งตึง ไม่มีริ้วรอยร่องลึกและความเหี่ยวย่นต่างๆ คอยกวนใจแต่ไม่อยากผ่าตัดยกกระชับ ไม่อยากฉีดสารสังเคราะห์ทั้งพวกโบท็อกซ์ (Botox) หรือฟิลเลอร์ (Filler) เข้าสู่ร่างกายทำได้หรือไม่? โจทย์งานผิวจะยากเพียงใดแต่นวัตกรรมยกกระชับผิวอย่าง Ultraformer ก็เอาอยู่ด้วยสุดยอดเทคโนโลยีเพื่อผิวยกกระชับ ลดริ้วรอยและกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ๆ ใต้ชั้นผิวได้อย่างดีเยี่ยมโดยไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ภายในครั้งแรกที่ทำ สำหรับใครที่ต้องการยกกระชับผิวให้สวยหล่อดูมั่นใจมากขึ้นและกำลังมีแพลนทำ Ultraformer แต่ยังไม่มั่นใจว่า Ultraformer ดีจริงไหม ราคาเท่าไหร่ หลังทำ Ultraformer ช่วยคงผลลัพธ์ผิวยกกระชับได้นานถึง 1 ปี จริงไหม? มาดูทุกคำตอบไปพร้อมๆ กันได้ในบทความนี้จาก Linna Clinic (ลินนา คลินิก) Table of Contents Ultraformer คืออะไร? Ultraformer (อัลตราฟอร์เมอร์) คือ เทคโนโลยีเพื่อการยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวสวยได้ทรงวีเชฟ (V-shape) โดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยการยิงคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงและมีความเฉพาะเจาะจงแบบ MMFU (Micro & Macro Focus Ultrasound) เข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังและสามารถลงลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อส่วนบนหรือผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular

เทรนด์การฉีดโบท็อก แบบไหนที่นิยมในหมู่ Celeb

ดารา Hollywood เริ่มฉีด เบบี้โบท็อก (Baby Botox) จนเป็นเทรนด์ฮอตฮิตอยู่ตอนนี้ ดาราสาวหลายคนกล่าวว่า รู้สึกว่าการฉีดเทคนิคเบบี้โบท็อก (Baby Botox) เป็นวิธีที่ทำให้มีความอ่อนเยาว์หน้าดูเด็กที่สุดทำให้ดูสวยอย่างเป็นธรรมชาติ Table of Contents เบบี้โบท็อก (Baby Botox) คืออะไร เบบี้โบท็อก (Baby Botox) คือ เทคนิคการฉีดโบท็อก (Botox) แบบใหม่ล่าสุดที่ฮิตมากในหมู่เซเลปคนดังฮอลลีวูดถือเป็นเทคนิคการฉีดโบท็อก (Botox) เพื่อเน้นลดริ้วรอย เช่น รอยย่นบนบริเวณหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว และรอยตีนกา แต่ใบหน้ายังเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ การฉีดโบท็อก (Botox) ในบริเวณรอยลึก สำหรับการฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอยจะเห็นผลชัดเจนในการแก้ปัญหาริ้วรอยตื้นๆ หรือริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น การขมวดคิ้ว การเลิกคิ้ว ริ้วรอยตีนกา การยิ้ม ริ้วรอยร่องแก้ม เป็นต้น แต่ถ้าหากเป็นปัญหาริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากปัญหากระดูกทรุดตัว อาจจะต้องแก้ไขโดยการฉีดฟิลเลอร์หนุนในชั้นผิว เพราะสารเติมเต็มในฟิลเลอร์สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกได้มากกว่าการฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอยค่ะ 3 เทคนิคฉีดโบท็อก (Botox)

อยากฉีดโบท็อก (Botox) แต่กลัวเข็ม กลัวเจ็บ ทำอย่างไรดี

ก่อนทำหัตถการทุกครั้ง หมอจะทำการแปะยาชาหรือใช้น้ำแข็งช่วยประคบเย็นก่อนทำการฉีดทุกครั้ง รวมถึงเข็มที่ลินนาคลินิกเลือกใช้จะมีขนาดที่เล็กเป็นพิเศษ จึงทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเท่ากับเข็มที่มีขนาดทั่วไปค่ะ หากใครที่มีความกลัวเข็มมากเป็นพิเศษก็สามารถขอทำการแปะยาชาก่อนได้เช่นกันโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม  และเราเองมีการใช้ตัว Face Vibration เพื่อช่วยในการเบนความสนใจได้ด้วยเช่นกัน และยังมีตัวช่วยอื่นๆที่หมอสรุปไว้ให้ด้านล่างนี้ด้วยเช่นกันค่ะ นอกจากนั้นทางหากท่านใดมีความกังวลหรือไม่สบายใจตรงจุดไหนสามารถเข้ามาพูดคุยสอบถามรายละเอียดขั้นตอนการรักษากับหมอได้ที่ลินนาคลินิก (LINNA Clinic) ก่อนได้เลยนะคะ Table of Contents คนกลัวเข็มจัดการกับการกลัวอย่างไรดี การแก้ไขอาการกลัวเหล่านี้สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยเริ่มที่ตัวเราเองได้เลยค่ะ มีวิธีการดังนี้ ปรับทัศนคติของตัวเองใหม่ การจัดลำดับความคิดของตัวเองให้ได้เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกเลยค่ะ ก่อนอื่นให้ปรับทัศนคติที่มีต่อสิ่งที่ตัวเองกลัว ยกตัวอย่าง เช่น การกลัวเข็ม โดยให้คิดว่าการเผชิญหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปสามารถทำได้โดยค่อย ๆ เอาตัวเองไปอยู่กับสิ่งๆนั้นให้มากขึ้นไม่ต้องทำในทันทีทันใดนะคะ ให้ค่อย ๆ ทำ เช่น ไปอยู่กับเพื่อนที่ทำมาแล้วสวยเราก็จะเริ่มซึมซับและปรับทัศนคติให้กลัวน้อยลงและมีความกล้ามากขึ้นที่จะทำค่ะ ตั้งสมาธิและผ่อนคลาย คนที่ไม่กล้า ผ่า ฉีดยา การตั้งสมาธิช่วยทำให้เราใจเย็นลงได้ แต่มันทำได้มากกว่านั้นค่ะ โดยการตั้งสมาธิกำหนดลมหายใจ เข้า-ออกจะช่วยให้จิตใจของเรานิ่งมากขึ้นค่ะ โดยคนเป็นโรคนี้ถ้าหากฝึกไปเรื่อย ๆ ยิ่งฝึกมากเท่าไหร่ก็จะสามารถ ควบคุมสติและควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้มากขึ้นค่ะ การเบี่ยงเบนความสนใจ หากกลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้ให้พยายามคิดถึงสิ่งอื่นแทนค่ะโดยก่อนทำอาจจะแจ้งหมอของเราว่าให้ช่วยพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ในขณะที่ฉีดยาชา สมองจะได้คิดไปเรื่องอื่นไม่มาโฟกัสเรื่องนี้หรือขณะที่ทำให้ตัวเองหันหน้าไปมองทางอื่นเพื่อจะได้ไม่มองเห็นซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลมากเลยค่ะ ใช้ตัวยา Penthrox ช่วย

Scroll to Top