เทรนด์การฉีดโบท็อก แบบไหนที่นิยมในหมู่ Celeb

ดารา Hollywood เริ่มฉีด เบบี้โบท็อก (Baby Botox) จนเป็นเทรนด์ฮอตฮิตอยู่ตอนนี้ ดาราสาวหลายคนกล่าวว่า รู้สึกว่าการฉีดเทคนิคเบบี้โบท็อก (Baby Botox) เป็นวิธีที่ทำให้มีความอ่อนเยาว์หน้าดูเด็กที่สุดทำให้ดูสวยอย่างเป็นธรรมชาติ

Table of Contents

เบบี้โบท็อก (Baby Botox) คืออะไร

เบบี้โบท็อก (Baby Botox) คือ เทคนิคการฉีดโบท็อก (Botox) แบบใหม่ล่าสุดที่ฮิตมากในหมู่เซเลปคนดังฮอลลีวูดถือเป็นเทคนิคการฉีดโบท็อก (Botox) เพื่อเน้นลดริ้วรอย เช่น รอยย่นบนบริเวณหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว และรอยตีนกา แต่ใบหน้ายังเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ 

การฉีดโบท็อก (Botox) ในบริเวณรอยลึก

สำหรับการฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอยจะเห็นผลชัดเจนในการแก้ปัญหาริ้วรอยตื้นๆ หรือริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น การขมวดคิ้ว การเลิกคิ้ว ริ้วรอยตีนกา การยิ้ม ริ้วรอยร่องแก้ม เป็นต้น แต่ถ้าหากเป็นปัญหาริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากปัญหากระดูกทรุดตัว อาจจะต้องแก้ไขโดยการฉีดฟิลเลอร์หนุนในชั้นผิว เพราะสารเติมเต็มในฟิลเลอร์สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกได้มากกว่าการฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอยค่ะ

3 เทคนิคฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอย ให้หน้าเด็กและไม่เสียเงินเยอะ

  1. ฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอย ก่อนจะกลายเป็นริ้วรอยถาวร

การฉีดโบท็อก (Botox) นั้นสามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป โดยไม่จำเป็นต้องรอให้อายุเยอะ หรือมีริ้วรอยเยอะก่อนถึงจะค่อยฉีด เพราะการฉีดโบท็อก (Botox) กันไว้ก่อนนั้นจะช่วยชะลอในการเกิดริ้วรอยถาวรหรือริ้วรอยตื้นๆได้ และเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นจะทำให้มีริ้วรอยเกิดขึ้นได้น้อยลง ส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์กว่าอายุ แต่ถ้าหากมีอายุเกิน 18 ปี แต่ต่ำกว่า 20 ปี และต้องการฉีดโบท็อก (Botox) จะต้องมีผู้ปกครองเซ็นเพื่อรับรองหรือยืนยันการรับการรักษา โดยฉีดโบท็อก (Botox) เพื่อป้องกันริ้วรอยที่จะเกิดในอนาคตได้และป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยร่องลึกที่ยากต่อการแก้ไขและใช้เงินแพงขึ้นในการแก้อีกด้วยค่ะ

  1. ฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอยต่อเนื่อง

การฉีดโบท็อก (Botox) สม่ำเสมอ สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-4 เดือน ทั้งนี้หากต้องการคงผลลัพธ์การรักษาอย่างต่อเนื่อง สามารถทำการฉีดซ้ำได้ทุก 3-4 เดือน หรือเมื่อริ้วรอยเริ่มกลับมา ไม่แนะนำให้ฉีดซ้ำเร็วกว่า 3 เดือน เพื่อป้องกันการดื้อโบท็อก (Botox) ในอนาคต โบท็อก (Botox) ทำให้ ริ้วรอยดูจางลง โอกาสเกิดริ้วรอยใหม่น้อยลง เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอยจะมีขนาดเล็กลงและอ่อนแรงลงกว่ากล้ามเนื้อที่ไม่เคยฉีดโบท็อก (Botox) มาก่อน

  1. เลือกฉีดโบท็อก (Botox) แท้ได้มาตรฐานป้องกันอาการดื้อโบท็อก (Botox) 

การฉีดโบท็อก (Botox) ที่ไม่ได้มาตรฐานจะเห็นผลลัพธ์ที่ให้ความพอใจแค่ 1-2 ครั้งแรกเท่านั้น แต่หลังจากนั้นเมื่อฉีดต่อไปเรื่อยๆจะเริ่มไม่เห็นผลลัพธ์หรือโบท็อก (Botox) ไม่ออกฤทธิ์ เป็นอาการของการดื้อโบท็อก (Botox) นั่นเองค่ะ และในตอนนี้อาการดื้อโบท็อก (Botox) ยังไม่มีทางรักษาได้ อาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอย่างน้อย 1-2 ปี เพื่อให้ร่างกายได้มีการพักและปรับตัว ดังนั้นก่อนฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอย จะต้องเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้โบท็อก (Botox) แท้ที่ได้รับการรับรองจาก อย. เท่านั้น

ข้อดีของการฉีดโบลดริ้วรอยตั้งแต่อายุน้อย

  • ป้องกันการเกิดริ้วรอยแบบฝังลึก บนชั้นผิวหนัง
  • คงสภาพผิวอ่อนเยาว์ ดูสุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยร่องลึก
  • โบท็อก (Botox) ออกฤทธิ์ได้ดี เห็นผลลัพธ์ชัดเจน
  • จำนวนยูนิตโบท็อก (Botox) ที่ใช้มีปริมาณน้อยกว่า
  • มีใบหน้าอ่อนเยาว์อยู่เสมอ เพิ่มความมั่นใจได้

หากฉีดโบท็อกตอนอายุน้อยๆผิวพรรณของคุณเกิดปัญหาริ้วรอยยังไม่มากนัก จำนวนยูนิตที่ใช้ในการฉีดจะน้อยลงไปตามสัดส่วนของปัญหา เพราะตอนที่คุณอายุยังน้อย สุขภาพผิวของคุณยังคงแข็งแรงอยู่ เท่ากับว่าเป็นการฉีดเพื่อเพิ่มเกราะป้องกันให้ผิวไปอีกขั้นนั่นเองค่ะ

การใช้โบท็อก (Botox) เพื่อทำการปรับรูปทรงใบหน้า

การทำงานของโบท็อก (Botox) คือ การทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง หากฉีดบริเวณกราม กล้ามเนื้อกรามจะหดลงเรื่อยๆ กรามจึงมีขนาดเล็กลง นั่นคือ สามารถเปลี่ยนรูปทรงของใบหน้าที่มีลักษณะอวบอิ่ม เหลี่ยม ให้กลายเป็นใบหน้ารูปทรงตัววี (V-Shape)ได้ค่ะ

การฉีดเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อที่บริเวณกรามนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังในการฉีดที่คอนข้างสูง เพราะหากว่าทำการฉีดไม่ถูกตำแหน่งหรือตำแหน่งทั้งสองข้างไม่สมมาตรกัน หรือแม้แต่การให้ยาในปริมาณที่ไม่เหมาะสมทำให้กล้ามเนื้อหดตัวในปริมาณที่ไม่เท่ากัน จะส่งผลให้ใบหน้าไม่เท่ากัน หรือถ้าทำการฉีดยาในปริมาณที่สูงและลึกมาเกินไปอาจจะส่งผลต่อการบดเคี้ยว และอาจส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือไม่สามารถอ้าปากกว้างเท่าเดิมได้ ถึงแม้ว่าอาการดังกล่าวจะคงอยู่เพียงแค่ชั่วคราวแต่ก็สามารถสร้างผลกระทบต่อการดำรงชีวิตได้ค่ะ

กลุ่มคนที่หมอไม่แนะนำให้ฉีดโบท็อก (Botox)

  • ผู้มีความผิดปกติทางกล้ามเนื้อและระบบประสาท เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia gravis) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส (Amyotrophic Lateral Sclerosis: ALS) ไม่ควรฉีด โบท็อก (Botox) เพราะอาจทำให้มีอาการแย่ลงของโรคได้
  • หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร แม้จะยังไม่มีรายงานเรื่องอันตราย แต่ก็ไม่มีข้อมูลเพียงพอเพื่อรองรับว่าปลอดภัยเช่นกัน อีกทั้งในระหว่างการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรจะหลีกเลี่ยงสารเคมีที่อาจส่งผลต่อร่างกายไม่ว่าจะบริเวณไหนก็ตามให้มากที่สุด

หมอแนะนำก่อนตัดสินใจเข้ารับการฉีดโบท็อก (Botox) แนะนำให้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ทั้งการเลือกสถาบันเสริมความงามที่น่าเชื่อถือ ที่มีแพทย์ผู้ชำนาญการ และมีการเลือกใช้แต่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับมาตรฐาน หลังจากนั้นอย่าลืมดูแลตัวเองเพื่อผลลัพธ์แห่งความเยาว์วัยให้อยู่กับคนไข้ไปนานๆ สามารถปรึกษา ลินนาคลินิก (LINNA Clinic) ได้ที่เบอร์ 063-609-8888 หรือทางไลน์ @linnaclinic ค่ะ

Related Articles

อยากฉีดโบท็อก (Botox) แต่กลัวเข็ม กลัวเจ็บ ทำอย่างไรดี

ก่อนทำหัตถการทุกครั้ง หมอจะทำการแปะยาชาหรือใช้น้ำแข็งช่วยประคบเย็นก่อนทำการฉีดทุกครั้ง รวมถึงเข็มที่ลินนาคลินิกเลือกใช้จะมีขนาดที่เล็กเป็นพิเศษ จึงทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเท่ากับเข็มที่มีขนาดทั่วไปค่ะ หากใครที่มีความกลัวเข็มมากเป็นพิเศษก็สามารถขอทำการแปะยาชาก่อนได้เช่นกันโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม  และเราเองมีการใช้ตัว Face Vibration เพื่อช่วยในการเบนความสนใจได้ด้วยเช่นกัน และยังมีตัวช่วยอื่นๆที่หมอสรุปไว้ให้ด้านล่างนี้ด้วยเช่นกันค่ะ นอกจากนั้นทางหากท่านใดมีความกังวลหรือไม่สบายใจตรงจุดไหนสามารถเข้ามาพูดคุยสอบถามรายละเอียดขั้นตอนการรักษากับหมอได้ที่ลินนาคลินิก (LINNA Clinic) ก่อนได้เลยนะคะ Table of Contents คนกลัวเข็มจัดการกับการกลัวอย่างไรดี การแก้ไขอาการกลัวเหล่านี้สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยเริ่มที่ตัวเราเองได้เลยค่ะ มีวิธีการดังนี้ ปรับทัศนคติของตัวเองใหม่ การจัดลำดับความคิดของตัวเองให้ได้เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกเลยค่ะ ก่อนอื่นให้ปรับทัศนคติที่มีต่อสิ่งที่ตัวเองกลัว ยกตัวอย่าง เช่น การกลัวเข็ม โดยให้คิดว่าการเผชิญหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปสามารถทำได้โดยค่อย ๆ เอาตัวเองไปอยู่กับสิ่งๆนั้นให้มากขึ้นไม่ต้องทำในทันทีทันใดนะคะ ให้ค่อย ๆ ทำ เช่น ไปอยู่กับเพื่อนที่ทำมาแล้วสวยเราก็จะเริ่มซึมซับและปรับทัศนคติให้กลัวน้อยลงและมีความกล้ามากขึ้นที่จะทำค่ะ ตั้งสมาธิและผ่อนคลาย คนที่ไม่กล้า ผ่า ฉีดยา การตั้งสมาธิช่วยทำให้เราใจเย็นลงได้ แต่มันทำได้มากกว่านั้นค่ะ โดยการตั้งสมาธิกำหนดลมหายใจ เข้า-ออกจะช่วยให้จิตใจของเรานิ่งมากขึ้นค่ะ โดยคนเป็นโรคนี้ถ้าหากฝึกไปเรื่อย ๆ ยิ่งฝึกมากเท่าไหร่ก็จะสามารถ ควบคุมสติและควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้มากขึ้นค่ะ การเบี่ยงเบนความสนใจ หากกลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้ให้พยายามคิดถึงสิ่งอื่นแทนค่ะโดยก่อนทำอาจจะแจ้งหมอของเราว่าให้ช่วยพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ในขณะที่ฉีดยาชา สมองจะได้คิดไปเรื่องอื่นไม่มาโฟกัสเรื่องนี้หรือขณะที่ทำให้ตัวเองหันหน้าไปมองทางอื่นเพื่อจะได้ไม่มองเห็นซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลมากเลยค่ะ ใช้ตัวยา Penthrox ช่วย

มีโรคประจำตัวอยู่ ฉีดโบท็อก (Botox) ได้ไหม

ก่อนอื่นหมอแนะนำผู้ที่จะเข้ามาทำการฉีดโบท็อก (Botox)  มาเช็คความพร้อมของสุขภาพกันเสียก่อน โดยจะต้องไม่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ และให้นมบุตรส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น คนที่มีโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ กล้ามเนื้ออ่อนแรง คนที่มีปัญหากล้ามเนื้อในการกลืน ควรหลีกเลี่ยง เพื่อความปลอดภัย และก่อนฉีดโบท็อก ไม่ควรปกปิดโรคประจำตัวกับแพทย์ผู้ให้การรักษาค่ะ Table of Contents ข้อควรพิจารณาก่อนการฉีดโบท็อก (Botox) สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เพื่อความปลอดภัย  ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อก (Botox)  แพทย์จะทำการประเมินความเสี่ยงและความเหมาะสมของคุณโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของโรคประจำตัว: บางโรคอาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด หรือระบบประสาท ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงจากการฉีดโบท็อก (Botox) ได้ ยาที่รับประทานอยู่: ซึ่งยาบางชนิดอาจมีปฏิกิริยาต่อกันกับโบท็อก (Botox) ประวัติการแพ้ยา: หากคุณเคยแพ้ยาใดๆ หรือมีประวัติการแพ้ทุกชนิดควรแจ้งแพทย์ให้ทราบทุกครั้งก่อนทำการฉีดโบท็อก (Botox) หมอแนะนำห้ามฉีดโบท็อก (Botox) เองโดยเด็ดขาดเนื่องจากโบท็อก (Botox) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงหากใช้ไม่ถูกต้อง การฉีดผิดจุด หรือฉีดในปริมาณที่มากจนเกินไปอาจส่งผลเสียร้ายแรงได้ เช่น ใบหน้าเบี้ยว ตาตก ปากตกเป็นต้น ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเสมอเพื่อความปลอดภัยค่ะ โรคประจำตัวใดห้ามฉีดโบท็อก (Botox) ผู้ป่วยโรคระบบกล้ามเนื้อ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส

โบท็อก (Botox) เกาหลีกับอเมริกาตัวไหนดีกว่ากัน

การฉีดโบท็อก (Botox) ในปัจจุบันคลินิกส่วนใหญ่จะมีโบท็อก (Botox) หลายยี่ห้อให้คนไข้เลือก ซึ่งโบท็อก (Botox) เกาหลีและอเมริกาเป็นโบท็อก (Botox) ที่ได้รับความนิยมมากค่ะ สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลการฉีดโบท็อก (Botox)  หมอจะอธิบายว่าโบท็อก (Botox) เกาหลีอเมริกาคืออะไร มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจค่ะ Table of Contents โบท็อก (Botox) เกาหลี คืออะไร โบท็อก (Botox) เกาหลี คือ โบท็อก (Botox) ที่ผลิตและนำเข้ามาจากสาธารณรัฐเกาหลีหรือประเทศเกาหลีใต้ เริ่มใช้กันมาเกือบ 10 ปี ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในประเทศไทย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะกระแสความนิยมของนักแสดงและนักร้องเกาหลีที่โด่งดังในเมืองไทย เลยทำให้หลายคนเริ่มอยากมีใบหน้าเรียวเหมือนคนเกาหลี เมื่อโบท็อก (Botox) เกาหลีเข้ามาประเทศไทย ทุกคนจึงมีความนิยมฉีดของเกาหลี เพราะหวังว่าจะได้หน้าเรียวสวยแบบไอดอลเกาหลี และโบท็อก (Botox) เกาหลีค่อนข้างได้รับความนิยมด้วยราคาที่ถูกกว่ามาก ปัจจุบันมีหลายยี่ห้อที่ผ่านการรับรองจากอย. เช่นยี่ห้อ Botulax และ Nabota ความบริสุทธิ์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 98.7% โบท็อก (Botox) เกาหลีกับอเมริกาตัวไหนดีกว่ากัน

Scroll to Top