ความแตกต่างระหว่างHIFU vs Botox เลือกแบบไหนโดนใจมากกว่ากัน

ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ปัจจุบันการทำหัตถการเพื่อดูแลใบหน้า ผิวพรรณ ความสวยความงามเดินหน้าไปไกลมาก ซึ่งหลายคนน่าจะคุ้นเคยหรือได้ยินกันบ่อย ๆ ทั้งวิธีที่เรียกว่า HIFU รวมถึงวิธียอดฮิตอย่าง Botox (โบท็อกซ์) คำถามคือทั้ง 2 รูปแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วควรเลือกแบบไหนให้ตอบโจทย์กับตนเองมากที่สุด มาหาคำตอบกันได้เลย

HIFU คืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร?

HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) คือ นวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยอาศัยคลื่นอัลตราซาวด์ระดับความเข้มข้นสูง จุดประสงค์สำคัญเพื่อต้องการให้เกิดการยกกระชับผิว หลักการทำงานเมื่อยิงคลื่นกระทบสู่ชั้นผิวจะเกิดความร้อนสะสมประมาณ 60-70 องศาเซลเซียส ส่งผลให้เนื้อเยื่อเกิดการหดตัว คอลลาเจนใต้ชั้นผิวถูกกระตุ้นให้ผลิตมากขึ้น จึงมีส่วนในการลดเลือนริ้วรอย ลิฟต์กรอบหน้าเรียว ยกกระชับแก้ม เหนียง ต้นแขน ต้นขา สะโพก หน้าท้อง เอว ใต้ดวงตา เปลือกตาบน หน้าผาก ลำคอ ฯลฯ ผ่านการรับรองจาก USFDA (องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา) ที่สำคัญไม่เจ็บตัว ไม่มีแผล หรือเสียเวลาพักฟื้นใด ๆ ทั้งสิ้น

Botox คืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร?

Botox (Botulinum Toxin Type A) คือ ชื่อทางการค้าของสาร Botulinum Toxin หรือ Botulinum neurotoxin ซึ่งเป็นท็อกซินกลุ่มโปรตีนประเภทหนึ่งถูกสกัดจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum ออกมาเป็นโปรตีนใส เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าสู่ชั้นใต้ผิวแล้วจะเกิดการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท การทำงานของกล้ามเนื้อ (Neurotoxin) ลดลงชั่วคราว ก่อนฉีดแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญต้องนำไปละลายกับน้ำเกลือ หลังฉีดแล้วเจ้าตัวโบท็อกซ์จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกจะถูกกักเก็บไว้บริเวณเซลล์ประสาท อีกส่วนจะหลุดไปตามกระแสเลือดและถูกขับออกโดยไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยลดเลือนริ้วรอย ความเหี่ยวย่น โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ยกกระชับผิวเพิ่มความเต่งตึง และลิฟต์กรามให้เข้ารูป

ความแตกต่างระหว่าง HIFU vs Botox มีหรือไม่?

จุดประสงค์ของทั้ง 2 หัตถการนี้แทบไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากนัก ผลลัพธ์ที่ได้จึงใกล้เคียงกัน เช่น อยากยกกระชับใบหน้าจะเลือกทำ HIFU หรือ เลือกทำ Botox Lifting ก็ไม่มีปัญหา อยากทำหน้าเรียวจะใช้เครื่อง HIFU หรือใช้วิธีฉีด Botox กราม ก็ตามสะดวก ทว่าหากมองถึงความแตกต่างจริง ๆ ก็อาจมีในบางจุด ดังนี้

– หากทำ HIFU จะไม่เจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น เหมาะกับคนกลัวเข็ม หรือไม่อยากฉีดสารอะไรเข้าร่างกาย

HIFU อยู่ได้นานกว่า (ประมาณ 6-12 เดือน) เเต่ Botox Lifting อยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน

– ทำ HIFU ไม่เสี่ยงดื้อโบท็อกซ์

– แต่ถ้าใครไม่กังวลใจเรื่องดังกล่าวการเลือกฉีด Botox ก็จะมีค่าใช้จ่ายถูกกว่า แถมขณะฉีดก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก มีแค่รอยเข็มเล็ก ๆ ไม่ต้องพักฟื้นเช่นกัน

อีกเรื่องที่อยากแนะนำเพิ่มเติมคือทั้ง 2 หัตถการนี้สามารถทำคู่กันได้เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวหน้าของบุคคล เช่น คนกรามใหญ่ อยากมีใบหน้าวีเชฟ แนะนำให้ทำ Botox กราม และ HIFU ยกกระชับพร้อมกัน ผลลัพธ์ที่ได้จะชัดเจนกว่าการทำแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นต้น ทั้งนี้แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทำ เพื่อความคุ้มค่าและการแก้ปัญหาได้ตรงจุด

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะทำ HIFU หรือ Botox การเลือกคลินิกที่มีความเชี่ยวชาญ น่าเชื่อถือ ไว้ใจได้ย่อมทำให้ผลลัพธ์ออกมาน่าพึงพอใจ ไม่ส่งผลเสียอื่นใดภายหลัง ซึ่งทาง “LINNA Clinic” (ลินนาคลินิก) ศูนย์เสริมความงามที่เชี่ยวชาญด้านการยกกระชับ มาพร้อมบริการสุดครบครัน ดูแลโดยทีมแพทย์มืออาชีพ ภายใต้ราคาสุดคุ้มค่า สามารถปรึกษาเพื่อเข้ารับการดูแลคุณภาพได้เลย

Related Articles

เทรนด์การฉีดโบท็อก แบบไหนที่นิยมในหมู่ Celeb

ดารา Hollywood เริ่มฉีด เบบี้โบท็อก (Baby Botox) จนเป็นเทรนด์ฮอตฮิตอยู่ตอนนี้ ดาราสาวหลายคนกล่าวว่า รู้สึกว่าการฉีดเทคนิคเบบี้โบท็อก (Baby Botox) เป็นวิธีที่ทำให้มีความอ่อนเยาว์หน้าดูเด็กที่สุดทำให้ดูสวยอย่างเป็นธรรมชาติ Table of Contents เบบี้โบท็อก (Baby Botox) คืออะไร เบบี้โบท็อก (Baby Botox) คือ เทคนิคการฉีดโบท็อก (Botox) แบบใหม่ล่าสุดที่ฮิตมากในหมู่เซเลปคนดังฮอลลีวูดถือเป็นเทคนิคการฉีดโบท็อก (Botox) เพื่อเน้นลดริ้วรอย เช่น รอยย่นบนบริเวณหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว และรอยตีนกา แต่ใบหน้ายังเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ การฉีดโบท็อก (Botox) ในบริเวณรอยลึก สำหรับการฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอยจะเห็นผลชัดเจนในการแก้ปัญหาริ้วรอยตื้นๆ หรือริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น การขมวดคิ้ว การเลิกคิ้ว ริ้วรอยตีนกา การยิ้ม ริ้วรอยร่องแก้ม เป็นต้น แต่ถ้าหากเป็นปัญหาริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากปัญหากระดูกทรุดตัว อาจจะต้องแก้ไขโดยการฉีดฟิลเลอร์หนุนในชั้นผิว เพราะสารเติมเต็มในฟิลเลอร์สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกได้มากกว่าการฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอยค่ะ 3 เทคนิคฉีดโบท็อก (Botox)

อยากฉีดโบท็อก (Botox) แต่กลัวเข็ม กลัวเจ็บ ทำอย่างไรดี

ก่อนทำหัตถการทุกครั้ง หมอจะทำการแปะยาชาหรือใช้น้ำแข็งช่วยประคบเย็นก่อนทำการฉีดทุกครั้ง รวมถึงเข็มที่ลินนาคลินิกเลือกใช้จะมีขนาดที่เล็กเป็นพิเศษ จึงทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเท่ากับเข็มที่มีขนาดทั่วไปค่ะ หากใครที่มีความกลัวเข็มมากเป็นพิเศษก็สามารถขอทำการแปะยาชาก่อนได้เช่นกันโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม  และเราเองมีการใช้ตัว Face Vibration เพื่อช่วยในการเบนความสนใจได้ด้วยเช่นกัน และยังมีตัวช่วยอื่นๆที่หมอสรุปไว้ให้ด้านล่างนี้ด้วยเช่นกันค่ะ นอกจากนั้นทางหากท่านใดมีความกังวลหรือไม่สบายใจตรงจุดไหนสามารถเข้ามาพูดคุยสอบถามรายละเอียดขั้นตอนการรักษากับหมอได้ที่ลินนาคลินิก (LINNA Clinic) ก่อนได้เลยนะคะ Table of Contents คนกลัวเข็มจัดการกับการกลัวอย่างไรดี การแก้ไขอาการกลัวเหล่านี้สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยเริ่มที่ตัวเราเองได้เลยค่ะ มีวิธีการดังนี้ ปรับทัศนคติของตัวเองใหม่ การจัดลำดับความคิดของตัวเองให้ได้เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกเลยค่ะ ก่อนอื่นให้ปรับทัศนคติที่มีต่อสิ่งที่ตัวเองกลัว ยกตัวอย่าง เช่น การกลัวเข็ม โดยให้คิดว่าการเผชิญหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปสามารถทำได้โดยค่อย ๆ เอาตัวเองไปอยู่กับสิ่งๆนั้นให้มากขึ้นไม่ต้องทำในทันทีทันใดนะคะ ให้ค่อย ๆ ทำ เช่น ไปอยู่กับเพื่อนที่ทำมาแล้วสวยเราก็จะเริ่มซึมซับและปรับทัศนคติให้กลัวน้อยลงและมีความกล้ามากขึ้นที่จะทำค่ะ ตั้งสมาธิและผ่อนคลาย คนที่ไม่กล้า ผ่า ฉีดยา การตั้งสมาธิช่วยทำให้เราใจเย็นลงได้ แต่มันทำได้มากกว่านั้นค่ะ โดยการตั้งสมาธิกำหนดลมหายใจ เข้า-ออกจะช่วยให้จิตใจของเรานิ่งมากขึ้นค่ะ โดยคนเป็นโรคนี้ถ้าหากฝึกไปเรื่อย ๆ ยิ่งฝึกมากเท่าไหร่ก็จะสามารถ ควบคุมสติและควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้มากขึ้นค่ะ การเบี่ยงเบนความสนใจ หากกลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้ให้พยายามคิดถึงสิ่งอื่นแทนค่ะโดยก่อนทำอาจจะแจ้งหมอของเราว่าให้ช่วยพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ในขณะที่ฉีดยาชา สมองจะได้คิดไปเรื่องอื่นไม่มาโฟกัสเรื่องนี้หรือขณะที่ทำให้ตัวเองหันหน้าไปมองทางอื่นเพื่อจะได้ไม่มองเห็นซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลมากเลยค่ะ ใช้ตัวยา Penthrox ช่วย

มีโรคประจำตัวอยู่ ฉีดโบท็อก (Botox) ได้ไหม

ก่อนอื่นหมอแนะนำผู้ที่จะเข้ามาทำการฉีดโบท็อก (Botox)  มาเช็คความพร้อมของสุขภาพกันเสียก่อน โดยจะต้องไม่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ และให้นมบุตรส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น คนที่มีโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ กล้ามเนื้ออ่อนแรง คนที่มีปัญหากล้ามเนื้อในการกลืน ควรหลีกเลี่ยง เพื่อความปลอดภัย และก่อนฉีดโบท็อก ไม่ควรปกปิดโรคประจำตัวกับแพทย์ผู้ให้การรักษาค่ะ Table of Contents ข้อควรพิจารณาก่อนการฉีดโบท็อก (Botox) สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เพื่อความปลอดภัย  ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อก (Botox)  แพทย์จะทำการประเมินความเสี่ยงและความเหมาะสมของคุณโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของโรคประจำตัว: บางโรคอาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด หรือระบบประสาท ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงจากการฉีดโบท็อก (Botox) ได้ ยาที่รับประทานอยู่: ซึ่งยาบางชนิดอาจมีปฏิกิริยาต่อกันกับโบท็อก (Botox) ประวัติการแพ้ยา: หากคุณเคยแพ้ยาใดๆ หรือมีประวัติการแพ้ทุกชนิดควรแจ้งแพทย์ให้ทราบทุกครั้งก่อนทำการฉีดโบท็อก (Botox) หมอแนะนำห้ามฉีดโบท็อก (Botox) เองโดยเด็ดขาดเนื่องจากโบท็อก (Botox) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงหากใช้ไม่ถูกต้อง การฉีดผิดจุด หรือฉีดในปริมาณที่มากจนเกินไปอาจส่งผลเสียร้ายแรงได้ เช่น ใบหน้าเบี้ยว ตาตก ปากตกเป็นต้น ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเสมอเพื่อความปลอดภัยค่ะ โรคประจำตัวใดห้ามฉีดโบท็อก (Botox) ผู้ป่วยโรคระบบกล้ามเนื้อ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส

Scroll to Top