เซลล์บำบัด และ Stem Cell คืออะไร? ประโยชน์ และข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ

แนวคิดเกี่ยวกับการฟื้นฟูร่างกายและชะลอวัยถูกพูดถึงมาอย่างยาวนาน ภายใต้กระบวนการที่เรียกว่า “เซลล์บำบัด (Cell Therapy)” เริ่มต้นจากการใช้เซลล์สดจากตัวอ่อนของแกะฉีดเข้าสู่ร่างกาย หรือที่เรียกว่า Fresh Cell Therapy ซึ่งแม้จะได้รับความนิยมในช่วงแรก แต่ก็พบข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและกฎหมายการใช้งาน จึงได้มีความพยายามในการพัฒนาแนวทางใหม่ๆ ของการทำเซลล์บำบัดที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการใช้ Stem Cell หรือเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ด้วยตัวเอง และสามารถเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ เพื่อช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกายอย่างล้ำลึก ส่งผลให้ Stem Cell ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทั้งด้านการดูแลสุขภาพ การชะลอวัย และความงามในหลายมิติ บทความนี้จาก Linna Clinic (ลินนา คลินิก) มีรายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเซลล์บำบัด คืออะไร? มีกี่ประเภท Stem Cell คืออะไร? ประโยชน์ของ Stem Cell เลือกแบบไหนให้คุณภาพดี ควรฉีดบ่อยแค่ไหน? รวมถึงวิธีดูแลตัวเองก่อน-หลัง ทำ Stem Cell เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนเข้ารับบริการ

เซลล์บำบัด และ Stem Cell คืออะไร? ประโยชน์ และข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ

เซลล์บำบัด คืออะไร

เซลล์บำบัด (Cell Therapy) คือ นวัตกรรมฟื้นฟูร่างกายทางการแพทย์ ด้วยการนำ “เซลล์” หรือ “สารสกัดจากเซลล์” ที่ยังมีชีวิต (Fresh Cell) และมีลักษณะสมบูรณ์เข้าสู่ร่างกาย เพื่อกระตุ้นการทำงานและฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพไปตามอายุหรือการเจ็บป่วย โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมถอยของเซลล์ ทำให้ร่างกายกลับมาแข็งแรง และสุขภาพดียิ่งขึ้น

เซลล์บำบัด มีกี่แบบ

การทำเซลล์บำบัดถูกพัฒนาออกมาหลายรูปแบบ เช่น  

  • Fresh Cell Therapy การทำเซลล์บำบัดในยุคแรกเริ่ม (ช่วงต้นศตวรรษที่ 20) ด้วยการใช้เซลล์สดจากตัวอ่อนของแกะหรือวัวฉีดเข้าสู่ร่างกาย โดยมีความเชื่อว่าเซลล์ที่ยังมีชีวิตและแข็งแรงจะช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้เคยได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเยอรมนีและอีกหลายประเทศ ต่อมาภายหลังพบว่าการบำบัดร่างกายด้วยเซลล์สดจากสัตว์ยังขาดหลักฐานการวิจัยและการรับรองทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและข้อกฎหมาย จึงไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
  • Stem Cell Therapy การบำบัดร่างกายด้วยการใช้เซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) จากร่างกายของมนุษย์ ซึ่งสกัดมาจากสายสะดือ เนื้อเยื่อไขมัน เลือด ไขกระดูกและฟัน โดยอาศัยคุณสมบัติสำคัญในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้อย่างยาวนาน และสามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ เพื่อช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในร่างกาย ปัจจุบันจึงได้มีความพยายามในการนำเอา Stem Cell มาใช้ประโยชน์ในด้านการฟื้นฟูสุขภาพ ความงาม และศาสตร์การชะลอวัยกันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม การใช้ Stem Cell ยังคงอยู่ในระยะของการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพในเชิงลึก (รายละเอียดเกี่ยวกับ Stem Cell ในหัวข้อถัดไป)
  • Exosome Therapy กระบวนการนี้ไม่ได้ใช้เซลล์ของสิ่งมีชีวิตโดยตรง แต่ใช้ Exosome ซึ่งเป็นสารชีวภาพขนาดนาโนที่ถูกปล่อยออกจาก Stem Cell ภายในบรรจุโปรตีน เอนไซม์ และสารชีวโมเลกุล เมื่อฉีดเข้าสู่ชั้นผิวจะช่วยทำหน้าที่สื่อสารระหว่างเซลล์ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดการอักเสบ และฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงจากภายใน นิยมใช้ในด้านความงาม เช่น ฟื้นฟูคุณภาพผิว ปรับผิวให้แข็งแรงมากขึ้น รวมถึงช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำ

Stem Cell คืออะไร

Stem Cell หรือ เซลล์ต้นกำเนิด คือเซลล์อ่อนซึ่งยังไม่มีหน้าที่เฉพาะเจาะจงเหมือนกับเซลล์ชนิดอื่นในร่างกาย และมีคุณสมบัติสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ

  1. การแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ด้วยตัวเอง (Self-Renewal) Stem Cell สามารถสร้างเซลล์ต้นกำเนิดใหม่ซึ่งไม่มีหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน จึงเป็นเซลล์ที่มีความสดใหม่อยู่เสมอและพร้อมให้ร่างกายนำไปใช้งานเมื่อจำเป็น
  2. การเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ (Differentiation) เมื่อร่างกายต้องการซ่อมแซมหรือฟื้นฟูส่วนที่สึกหรอ Stem Cell สามารถเปลี่ยนตัวเองไปเป็นเซลล์ชนิดที่มีความจำเพาะ เช่น เซลล์เม็ดเลือด เซลล์ผิวหนัง เซลล์ประสาท เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์กระดูกอ่อน และเซลล์ไขมัน

โดยทฤษฎีแล้ว Stem Cell ถูกมองว่าเป็น “เซลล์ต้นแบบของร่างกาย” ที่พร้อมพัฒนาไปเป็นเซลล์ที่มีความจำเพาะเมื่อถูกกระตุ้น และจะเข้าไปทดแทนเซลล์เดิมที่เสื่อมสภาพ เพื่อช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกายให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติได้อีกครั้ง ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นเหล่านี้จึงทำให้ Stem Cell ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านการแพทย์ การดูแลสุขภาพ ตลอดจนศาสตร์การชะลอวัยและความงาม แต่เนื่องจากยังมีคำถามที่รอผลการวิจัยอยู่อีกหลายประเด็น ทำให้การแพทย์ทั่วไปจึงมีหลายความเห็นเกี่ยวกับการนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ สถานการณ์ในปัจจุบันจึงยังคงอยู่ในระหว่างช่วงรอยต่อของประโยชน์จากการใช้งาน Stem Cell ว่ามีความคุ้มค่ามากน้อยเพียงใด

แหล่งที่มาของ Stem Cell

Stem Cell มาจากหลายแหล่งกำเนิด โดยแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติและศักยภาพที่แตกต่างกัน การเลือกใช้งานจึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต้องการของแต่ละบุคคล ได้แก่

  • Human Stem Cell (MSC) ชนิด Allogeneic เป็นเซลล์ต้นกำเนิดของมนุษย์จากบุคคลอื่นหรือผู้บริจาค (Donors) ที่มีอายุน้อย ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยอย่างเข้มงวดเพื่อให้มั่นใจว่าเซลล์ที่ได้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยแหล่งที่นิยมมากที่สุดคือ สายสะดือ (Umbilical Cord) นอกจากนี้ยังเก็บได้จากเนื้อเยื่อไขมัน เลือด เลือดจากรก ไขกระดูกและฟัน ข้อดีของ Stem Cell ชนิดนี้ คือ มีความใกล้เคียงกับเซลล์ในร่างกายมนุษย์ เซลล์มีอายุน้อยและไม่กลายพันธุ์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง อ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีอายุ
  • Embryonic Stem Cell เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนในระยะบลาสโตซิสต์ (Blastocyst) หรือช่วงอายุ 4-7 วันหลังการปฏิสนธิ Stem Cell ชนิดนี้มีศักยภาพสูง สามารถแบ่งตัวได้อย่างไม่จำกัดและพร้อมแปรสภาพไปเป็นเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย อย่างไรก็ตาม การใช้งานเซลล์ชนิดนี้อาจยังคงมีข้อถกเถียงด้านจริยธรรมและข้อจำกัดทางกฎหมายที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
  • Organ Specific MSC เป็นแนวคิดของการใช้ Stem Cell ชนิด MSC ที่สามารถพัฒนาจนมีความจำเพาะหรือมุ่งเป้าไปยังอวัยวะชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น กระดูกอ่อน หัวใจ ตับ หรือระบบประสาท เพื่อให้การฟื้นฟูและการรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด แต่อย่างไรก็ตาม Stem Cell ชนิดนี้เป็นความหวังของการนำมาใช้ทางการแพทย์ในอนาคต เพียงแต่ต้องการผลการวิจัยพัฒนาเพิ่ม
  • Autologous Stem Cell เป็น Stem Cell ของตัวผู้เข้ารับบริการเอง มักเก็บจากเลือด ไขกระดูก และไขมัน ข้อดีคือสามารถเข้ากันดีกับร่างกาย ลดโอกาสปฏิกิริยาต่อต้านและผลข้างเคียง ฟื้นตัวได้เร็ว

การใช้งานเซลล์บำบัด และ Stem Cell

ปัจจุบันการทำเซลล์บำบัดหรือ Stem Cell ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ทั้งในด้านการแพทย์ฟื้นฟูร่างกาย ศาสตร์ชะลอวัยและความงาม ได้แก่

  • การฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม Stem Cell มีคุณสมบัติในการซ่อมแซมและฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่สึกหรอ เช่น กล้ามเนื้อ หลอดเลือด รวมถึงอวัยวะสำคัญต่างๆ ในร่างกายให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ด้านความงาม Stem Cell ถูกนำมาใช้ประโยชน์ด้านผิวพรรณและความงาม ช่วยชะลอวัยให้ผิว ลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูสภาพผิวจากภายใน
  • การดูแลเส้นผม Stem Cell ยังมีบทบาทในการกระตุ้นรากผม (Hair Follicle) ช่วยลดปัญหาผมร่วงหรือผมบาง ทำให้เส้นผมกลับมาแข็งแรงและดกดำ
  • การซ่อมแซมข้อต่อ กระดูกอ่อน และเส้นประสาท ปัจจุบันได้มีความพยายามในการนำเอา Stem Cell มาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เพื่อช่วยฟื้นฟูข้อต่อหรือกระดูกอ่อนที่เสื่อมสภาพ รวมถึงการซ่อมแซมความเสียหายของระบบประสาท ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีปัญหาข้อเสื่อมหรืออาการบาดเจ็บเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาหรือการรักษารูปแบบอื่นๆ

ประโยชน์ของ Stem Cell

Stem Cell เป็นนวัตกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่นด้านการฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ในระดับลึก ดังนี้

  • ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูสุขภาพจากภายใน ด้วยการใช้ Stem Cell เพื่อทดแทนเซลล์เฉพาะที่เสียหายหรือเสื่อมสภาพ ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่นระบบหัวใจ กล้ามเนื้อ ระบบประสาท หลอดเลือด และกระดูก ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • ช่วยบรรเทาอาการของโรคบางอย่าง เช่น โรคระบบประสาทเสื่อม และข้อเสื่อม โรคเกี่ยวกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และโรคมะเร็ง
  • ช่วยชะลออัตราการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย เสริมสุขภาพที่แข็งแรง ดูสดใสได้ยาวนานยิ่งขึ้น
  • ช่วยฟื้นฟูผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์ สุขภาพดี ริ้วรอยดูจางลง เพิ่มคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว ผิวยืดหยุ่นและกระจ่างใส
  • ช่วยลดปัญหาผมร่วง ผมบาง ทำให้เส้นผมแข็งแรงและดกดำ
  • ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้เข้ารับบริการ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข และรู้สึกมั่นใจในตัวเอง

Passage ของ Stem Cell คืออะไร? แบบไหนคุณภาพดี

Passage คือจำนวนครั้งที่ Stem Cell ถูกย้ายเพาะเลี้ยงไปยังภาชนะใหม่ในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้เซลล์สามารถแบ่งตัวต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เมื่อ Passage สูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพ และเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะของเซลล์ได้ แพทย์โดยส่วนใหญ่จึงแนะนำให้เลือกใช้ Stem Cell Passage ที่ต่ำ (P3-P5) ซึ่งมีแนวโน้มในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าสเต็มเซลล์ Passage ที่สูง เนื่องจากยังคงคุณสมบัติในการแบ่งตัวและปรับตัวได้ดี สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นๆ ที่มีความจำเพาะได้อย่างสมบูรณ์

Stem Cell อันตรายหรือไม่?

โดยทั่วไป การใช้ Stem Cell ถือว่ามีความปลอดภัยหากดำเนินการภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการ และเลือกใช้เซลล์จากแหล่งที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ผ่านการตรวจสอบอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ ความเสี่ยงอาจเพิ่มขึ้นหากใช้ Stem Cell ที่ไม่ผ่านการรับรอง หรือทำในสถานพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐาน ผู้ดำเนินการไม่ใช่แพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะด้าน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การอักเสบและติดเชื้อรุนแรง หรือผลลัพธ์ที่ไม่ตรงตามที่คาดหวัง

ควรฉีด Stem Cell บ่อยแค่ไหน

  • โดยทั่วไป สามารถฉีด Stem Cell ได้ทุกๆ 6-12 เดือน ทั้งนี้ ความถี่ในการฉีด Stem Cell ขึ้นอยู่กับชนิดประเภทของเซลล์ และสุขภาพของแต่ละบุคคล รวมถึงวัตถุประสงค์ในการรักษา เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย ผู้เข้ารับบริการควรฉีดสเต็มเซลล์ตามกระบวนการ (Protocol) ที่แพทย์ผู้ดูแลแนะนำ  

Stem Cell อยู่ได้นานแค่ไหน

  • ผลลัพธ์ของ Stem Cell อาจอยู่ได้นานหลายเดือนถึงหลายปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น บริเวณที่ฉีด อายุ สภาพร่างกายของผู้เข้ารับบริการ คุณภาพของ Stem Cell ที่ใช้ และการดูแลตัวเองหลังทำ เพื่อคงผลลัพธ์ที่ดีควรเข้ารับบริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ Stem Cell คุณภาพสูง ดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และสามารถฉีด Stem Cell ซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่ต่อเนื่อง

Stem Cell เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายแบบองค์รวม
  • ผู้ที่มีภาวะโรคชรา หรือร่างกายที่เสื่อมไปตามวัย
  • ผู้ที่ต้องการดูแลผิวพรรณและชะลอวัย
  • ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงหรือผมบาง
  • ผู้ที่มีโรคอักเสบและโรคเสื่อมบางชนิด เช่น ภาวะข้อเสื่อม รูมาตอยด์ หรือเนื้อเยื่อเสื่อมสภาพ
  • ผู้ที่มีภาวะโรคเลือดและระบบภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดบางชนิด

ผู้เข้ารับบริการควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินร่างกาย พร้อมแจ้งข้อมูลสุขภาพที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ทั้งประวัติการเจ็บป่วย โรคประจำตัว หรือประวัติการแพ้ยา เพื่อประเมินความเสี่ยงและกำหนดแนวทางการทำ Stem Cell ได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยสำหรับแต่ละบุคคล นอกจากนี้ ผู้เข้ารับบริการควรทำความเข้าใจว่าการฉีด Stem Cell เป็นเพียงแนวทางเสริมเพื่อช่วยฟื้นฟูและปรับสมดุลร่างกาย ไม่ใช่วิธีรักษาโรคโดยตรงจึงไม่สามารถใช้ทดแทนการรักษามาตรฐานทางการแพทย์ได้

วิธีดูแลตัวเองก่อน-หลัง ทำ Stem Cell

ก่อนทำ Stem Cell

  • ตรวจสุขภาพเบื้องต้น แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรคประจำตัว ยา/อาหารเสริมที่รับประทานอยู่ เพื่อประเมินความเสี่ยงก่อนเริ่มดำเนินหัตถการ
  • ปรึกษาแพทย์และแจ้งผลลัพธ์ที่คาดหวังหลังการทำ Stem Cell ให้ทราบล่วงหน้า เพื่อวางแผนการทำ Stem Cell อย่างเหมาะสม
  • งดการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (ตามคำแนะนำแพทย์) ยากลุ่ม NSAIDs ยากดภูมิต้านทาน ยาปฏิชีวนะ อย่างน้อย 7 วัน
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดบาดแผล รวมถึงหัตถการต่างๆ เช่น ฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม และการทำเลเซอร์ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
  • พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้ได้ 8-12 ชั่วโมงก่อนฉีด เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงของทอด ของมันในช่วง 2-3 วันก่อนฉีด

หลังทำ Stem Cell

    • พักผ่อนอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำงานหนักหรือออกกำลังกายหักโหมในช่วง 1-2 วันแรก
    • หลีกเลี่ยงการใช้ยาต้านอักเสบ (NSAIDs) และยาสเตียรอยด์ อย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาขัดขวางการทำงานของ Stem Cell
    • ดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูของร่างกาย
    • เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)
    • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 3-7 วัน เพราะอาจรบกวนกระบวนการฟื้นฟูร่างกาย
    • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องสัมผัสแสงแดด มลภาวะ ฝุ่นควัน หรือสถานที่ที่อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค เช่น โรงพยาบาล สถานีอนามัย ย่านที่มีผู้คนแออัด อย่างน้อย 3 วัน
    • เข้าพบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อติดตามผลและประเมินการตอบสนองของร่างกาย

สรุป

การทำเซลล์บำบัดในยุคแรก เริ่มจาก Fresh Cell Therapy ที่ใช้เซลล์สดจากตัวอ่อนสัตว์ฉีดเข้าสู่ร่างกายโดยตรง แม้เคยได้รับความนิยมแพร่หลาย แต่ภายหลังกลับไม่เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์สมัยใหม่เนื่องจากขาดหลักฐานรองรับที่น่าเชื่อถือ รวมถึงข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและกฎหมายการใช้งาน จึงได้มีการพัฒนาไปสู่การใช้ Stem Cell หรือเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งมีความสามารถในการแบ่งตัวและเปลี่ยนไปเป็นเซลล์เฉพาะทาง ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกายได้ลึกกว่าเดิม นำมาใช้ทั้งด้านสุขภาพ การชะลอวัย และความงาม โดยมีหลายประเภท เช่น Human Stem Cell, Embryonic Stem Cell, Organ Specific MSC และ Autologous Stem Cell อย่างไรก็ตาม การทำ Stem Cell ยังคงอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เพื่อยืนยันเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ได้ อีกทั้งยังเป็นหัตถการที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความแม่นยำสูง จึงควรเข้ารับบริการกับคลินิกได้มาตรฐาน มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ครบครัน ใช้ Stem Cell ที่มีคุณภาพดี มี Passage ในระดับที่เหมาะสม และอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ ฟื้นฟูความอ่อนเยาว์และเสริมคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน การทำ Stem Cell อาจเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่เหมาะสม สนใจปรึกษาปัญหาหรือวางแผนฟื้นฟูสุขภาพโดยทีมแพทย์ของ LINNA Clinic สามารถติดต่อเราได้ที่เบอร์ 063-609-8888, Whatsapp +66 919799554 หรือทาง LINE: @linnaclinic ได้เลยค่ะ

ตะกร้าสินค้า
Scroll to Top