LINNA
ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร เหมาะกับบริเวณใด เลือกฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี?
อัปเดตเมื่อ 2 พ.ย. 2565

ฟิลเลอร์ (Filler) หัตถการความงามที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในผิวตามจุดต่างๆ ทั้งหน้าผาก ขมับ ร่องใต้ตา ร่องแก้ม แก้มส้ม จมูกและริมฝีปาก เพื่อช่วยในเรื่องของการปรับแต่งรูปหน้า ยกกระชับผิวหน้า ให้ใบหน้าดูสวยอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรมชาติกมากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่กำลังสนใจและอยากฉีดฟิลเลอร์อยู่ อาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์มีกี่ชนิด กี่ยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างไร ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีที่สุด วันนี้ Linna Clinic รวบรวมข้อมูลของฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อมาให้ทุกคนใช้สำหรับประกอบการตัดสินใจกันแล้วค่ะ
1. ฟิลเลอร์มีกี่ชนิด แบบไหนดีที่สุด
เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกของฟิลเลอร์ (Filler) กันก่อนสักเล็กน้อย ก่อนจะไปดูว่าฟิลเลอร์มีกี่ยี่ห้อ หรือฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีที่สุดกันค่ะ หลักๆ แล้วนั้นเราสามารถแบ่งฟิลเลอร์ออกได้ 3 ชนิด ได้แก่
ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary Filler) เป็นสารเติมเต็มที่ผลิตจากธรรมชาติ ตัวที่นิยมฉีดกันมากๆ คือกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) ฉีดแล้วจะอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ฟิลเลอร์กลุ่มกรดไฮยาลูรอนิคนี้มีความปลอดภัยสูง มีโอกาสแพ้ได้น้อย และสลายตัวได้เองตามธรรมชาติค่ะ
ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler) เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้น เพื่อให้สามารถเข้ากับเนื้อเยื่อในชั้นผิวของเราได้ค่ะ เนื่องจากเป็นสารสังเคราะห์จึงสามารถคงตัวในชั้นผิวได้นานกว่าฟิลเลอร์แบบชั่วคราว อาจอยู่ได้นานถึง 24 เดือน (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวหลังการทำหัตถการของคนไข้ด้วยค่ะ) และสามารถสลายตัวได้เอง 100%
สารเติมเต็มแบบถาวร (Liquid Silicone) ซึ่งก็คือ ซิลิโคนเหลว นั่นเองค่ะ สารกลุ่มนี้เมื่อฉีดไปแล้วจะเห็นผลลัพธ์แบบถาวรและไม่สามารถสลายตัวได้เอง เมื่อเกิดปัญหาหรืออยากเอาฟิลเลอร์ออก จะต้องให้แพทย์ผ่าตัดและขูดออกเท่านั้น เมื่อฉีดเข้าผิวแล้วจะเสี่ยงต่ออาการอักเสบ ฟิลเลอร์จับตัวแข็งเป็นก้อนและเกิดอาการฟิลเลอร์ไหลได้ ในปัจจุบันฟิลเลอร์ในกลุ่มนี้ถูกจัดเป็นฟิลเลอร์ชนิดอันตราย และไม่เป็นที่นิยมใช้ในคลินิกที่มีมาตรฐานค่ะ
2. ฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างไร?
อย่างที่เราทราบกันดีค่ะเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นผิวหน้าของเราก็จะเริ่มหย่อนคล้อย เริ่มมองเห็นริ้วรอยในบริเวณต่างๆได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นรอยย่นหน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว รอยย่นใต้ตา มุมปากตก ขมับตอบ หรือแก้มตอบ ซึ่งเป็นผลมาจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิว การยุบตัวของกระดูกใต้ผิวหนัง และการเรียงตัวของชั้นไขมันใต้ผิวที่ผิดปกติ เพื่อรับมือกับปัญหาความหย่อนคล้อยที่อาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆบนผิวหน้า เราจึงควรให้ความสำคัญกับการเติมเต็มและยกกระชับผิวหน้า การฉีดฟิลเลอร์ซึ่งเป็นสารเติมเต็มเข้าสู่ชั้นผิวสามารถแก้ปัญหาและตอบโจทย์ในการยกกระชับ ปรับรูปหน้าให้สวย ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะค่ะ
ทั้งนี้หลายๆคนที่สนใจอยากฉีดฟิลเลอร์อยู่ อาจมีข้อกังวลหรือกลัวว่าเมื่อฉีดฟิลเลอร์แล้วจะทำให้หน้าดูแข็ง ฟิลเลอร์ย้อยเป็นก้อน ไม่เนียนไปกับผิว ดูไม่เป็นธรรมชาติหรือเปล่า ตรงนี้ตอบได้เลยค่ะว่าการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) เป็นหัตถการที่ต้องอาศัยเทคนิคการฉีด ร่วมกับศาสตร์ความงามขั้นสูง ที่ Linna Clinic เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีเทคนิคเฉพาะตัวในการฉีดฟิลเลอร์ให้ออกมาดูเนียนสวยอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนการฉีดทุกครั้งแพทย์จะทำการวิเคราะห์ใบหน้าและปัญหาที่ลูกค้าต้องการแก้ไขเป็นรายบุคคลโดยละเอียด เลือกใช้ฟิลเลอร์ในยี่ห้อและรุ่นที่ตอบโจทย์ความต้องการ สู่ผลลัพธ์หลังการฉีดฟิลเลอร์ที่เนียนสวย ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ ไร้ปัญหาฟิลเลอร์แข็งเป็นก้อน ฟิลเลอร์ย้อยได้อย่างแน่นอน
3. เลือกฟิลเลอร์ชนิดไหน ปลอดภัยต่อผิวมากที่สุด
ในปัจจุบันฟิลเลอร์ที่ได้รับการยอมรับว่าปลอดภัย และนิยมใช้กันในคลินิกมากที่สุดจะเป็นฟิลเลอร์แบบชั่วคราว คือ กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) เพราะมีความปลอดภัยสูง ผ่านการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาในหลายๆประเทศ รวมถึงในประเทศไทย (Thai FDA) ไม่ตกค้างในร่างกาย สามารถสลายตัวได้ 100% สามารถให้แพทย์ฉีดยาสลายฟิลเลอร์ได้ในกรณีที่อยากปรับการฉีดใหม่ โดยฟิลเลอร์แท้ที่นิยมฉีดกันทั่วไปในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 3 ยี่ห้อหลักๆ ได้แก่ ฟิลเลอร์ Juvederm ฟิลเลอร์ Restylane และฟิลเลอร์ Neuramis
4. ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีที่สุด เลือกฉีดฟิลเลอร์ตัวไหนดี?
1. ฟิลเลอร์ Juvederm
ฟิลเลอร์ Juvederm ฟิลเลอร์สัญชาติอเมริกา ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานในวงการความงามทั่วโลก เป็นฟิลเลอร์ในกลุ่มกรดไฮยาลูรอนิค ที่มีความปลอดภัยและสลายตัวเองได้ 100% ผ่านการรับรองมาตรฐานจากคณะกรรมการอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และประเทศไทย (Thai FDA)
ฟิลเลอร์ Juvederm แตกต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร?
ฟิลเลอร์ Juvederm โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีสำคัญอย่าง Hylacross และ Vycross ที่ทำให้ตัวเนื้อฟิลเลอร์ละเอียด มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยยกกระชับผิวได้ดี ไม่แข็งเป็นก้อน เมื่อฉีดเข้าผิวแล้วจะดูเนียนสวยเป็นธรรมชาติมาก เกิดโอกาสที่จะบวมน้ำหลังการฉีดได้น้อยมาก ผลลัพธ์หลังการฉีดอยู่ได้ยาวนาน นอกไปจากนี้ฟิลเลอร์ Juvederm ยังมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ซึ่งจะช่วยลดความเจ็บในขณะที่ฉีดฟิลเลอร์ได้
ฟิลเลอร์ Juvederm มีกี่รุ่น แต่ละรุ่นเหมาะกับจุดไหน
ฟิลเลอร์ Juvederm ได้รับความนิยมและถูกพัฒนาให้มีคุณภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันมีทั้งหมด 6 รุ่น โดยแต่ละรุ่นจะเหมาะกับการฉีดในบริเวณที่ต่างกันออกไปและมีความโดดเด่นเฉพาะรุ่น ดังนี้

1. Juvederm Ultra Plus
เหมาะกับการฉีดบริเวณ ขมับ ร่องแก้ม จมูก ริมฝีปากและคาง
ใช้เทคโนโลยี Hylacross เนื้อฟิลเลอร์แน่น นุ่มและฟูมาก อุ้มน้ำได้ดี จึงเหมาะกับผิวบริเวณที่ต้องการความอิ่มฟูมากๆ
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

2. Juvederm Voluma
เหมาะกับการฉีดบริเวณ ใต้ตา ร่องแก้ม หรือใช้เติมคางและขมับ
ผลิตโดยเทคโนโลยี Vycross เนื้อฟิลเลอร์แน่น เรียบเนียน มีความฟูระดับปานกลาง คงตัวได้ดีเมื่อฉีดเข้าผิว
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน

3. Juvederm Volift
เหมาะกับการฉีดบริเวณ ร่องใต้ตา รอยย่นที่คิ้ว หน้าผาก มุมปากและริมฝีปาก
ผลิตโดยเทคโนโลยี Vycross เนื้อฟิลเลอร์นุ่มระดับปานกลาง เนื้อละเอียดกว่ารุ่น Ultra Plus เหมาะกับผู้ที่มีผิวบางและเหมาะกับการรักษาริ้วรอยแบบตื้น
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

4. Juvederm Vobella
เหมาะกับการฉีดบริเวณ เติมหน้าผากให้อิ่มฟู
ผลิตโดยเทคโนโลยี Vycross มีขนาดโมเลกุลละเอียดมาก เนื้อฟิลเลอร์นิ่ม จึงฉีดเข้าสู่ผิวได้ง่าย ไม่แข็งเป็นก้อน
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

5. Juvederm Volite
เหมาะกับการฉีดบริเวณ ร่องใต้ตา ลดรอยคล้ำใต้ตา ริมฝีปาก ลำคอ และหลังมือ
ผลิตโดยเทคโนโลยี Vycross เนื้อฟิลเลอร์จึงละเอียดและมีความบางเบา สามารถฉีดเข้าชั้นหนังแท้ (Dermis) ได้ เนื้อฟิลเลอร์อุ้มน้ำได้ดี เมื่อฉีดลงผิวจะช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้น ฉ่ำวาว เปล่งปลั่ง รูขุมขนดูเล็กลง
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือน

6. Juvederm Volux
เหมาะกับการฉีดบริเวณ ใต้ตา ขมับ ร่องแก้ม(แบบลึก) กรามและคาง
ผลิตโดยเทคโนโลยี Vycross เนื้อฟิลเลอร์แข็งที่สุด มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ปั้นขึ้นรูปได้ง่ายและมีความคงตัวสูง
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18-24 เดือน

ฟิลเลอร์ Juvederm ทุกรุ่นมีส่วนผสมของ Lidocaine ซึ่งเป็นยาชาประเภทหนึ่ง ข้อดีคือจะช่วยลดความเจ็บในขณะที่แพทย์ฉีดฟิลเลอร์เข้าผิว ทั้งนี้ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชาจึงควรแจ้งข้อมูลให้แพทย์ผู้ทำการรักษาทราบทุกครั้ง เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากการแพ้ยาชาค่ะ
2. ฟิลเลอร์ Restylane
ฟิลเลอร์ Restylane ฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจากแพทย์ทั่วโลก เป็นฟิลเลอร์ในกลุ่มกรดไฮยาลูรอนิคที่มีความปลอดภัยสูงมาก สามารถสลายตัวเองได้ 100% ผ่านการรับรองมาตรฐานจากคณะกรรมการอาหารและยาในนานาประเทศ ทั้งจากประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) รวมถึงประเทศไทย (Thai FDA)
ฟิลเลอร์ Restylane แตกต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร?
ฟิลเลอร์ Restylane โดดเด่นด้วยเนื้อฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง ฉีดแล้วผิวดูเนียนละมุน ดูเป็นธรรมชาติ ไม่จับตัวเป็นก้อนแข็ง โดยฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane ใช้เทคโนโลยีสำคัญในการผลิต 2 เทคโนโลยี คือ
NASHA Technology ด้วยเทคโนโลยีนี้ทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าผิวสามารถดึงโมเลกุลของน้ำในชั้นผิวเข้ามาเก็บในตัวฟิลเลอร์ จึงช่วยทำให้ผิวดูชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง สุขภาพดี ตัวเนื้อฟิลเลอร์มีหลายขนาดโมเลกุลให้เลือกใช้ ทั้งโมเลกุลขนาดใหญ่ กลางและเล็ก แพทย์ผู้ทำการรักษาสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของสภาพผิวแต่ละจุด โดยฟิลเลอร์ Restylane ที่ใช้เทคโนโลยี NASHA เนื้อฟิลเลอร์จะค่อนข้างหนา คงตัวได้ดี เหมาะกับคนไข้ที่ผิวหนาและแข็งแรง
OBT Technology ฟิลเลอร์ที่ผลิตโดยเทคโนโลยีนี้มีความยืดหยุ่นและคงตัวดีเช่นเดียวกันค่ะ แต่จุดเด่นที่สำคัญ คือเทคโนโลยี OBT จะทำให้ฟิลเลอร์สามารถปรับได้ตามการเคลื่อนไหว จึงเหมาะกับการฉีดในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวมากๆ เช่น รอยย่นระหว่างคิ้ว ปาก หรือคาง เมื่อฉีดเข้าผิวแล้วสามารถปรับรูปทรงได้หลากหลายกว่า เหมาะกับคนไข้ที่มีผิวบางและผิวที่ไม่ค่อยแข็งแรง


ฟิลเลอร์ Restylane มีกี่รุ่น แต่ละรุ่นควรฉีดจุดไหน?
ด้วยความเป็นที่นิยมของฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane ในปัจจุบันจึงมีการพัฒนาออกมาหลากหลายรุ่น โดยมีรุ่นที่ผ่านมาตรฐานการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทย (Thai FDA) ดังนี้ค่ะ

1. Restylane Perlane Lyft
เหมาะกับการฉีดบริเวณ ใต้ตา จมูก และแก้ม
เป็นรุ่นที่มีส่วนผสมของยาชา มีความคงตัวสูง หลังฉีดเนื้อจะไม่ฟูมาก
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน

2. Restylane Defyne
เหมาะกับการฉีดบริเวณ จุดเล็กๆ เช่น ใต้ตา ริมฝีปาก หรือหลังมือ
มีส่วนผสมของยาชา เนื้อฟิลเลอร์มีขนาดโมเลกุลเล็กและมีความนิ่มมากที่สุด
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

3. Restylane Vital Light
เหมาะกับการฉีดบริเวณ ขมับ ร่องแก้ม จมูก ริมฝีปากและคาง
ใช้เทคโนโลยี Hylacross เนื้อฟิลเลอร์แน่น นุ่มและฟูมาก อุ้มน้ำได้ดี จึงเหมาะกับผิวบริเวณที่ต้องการความอิ่มฟูมากๆ
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

4. Restylane Volyme
ใช้เติมเต็มผิวในบริเวณหน้าผาก ขมับ และร่องแก้ม
มีส่วนผสมของยาชา เนื้อฟิลเลอร์แข็งระดับปานกลาง เมื่อฉีดลงผิวจะช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน

5. Restylane Refyne
ใช้เติมเต็มร่องรอยเล็กๆ ที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และรอบดวงตา
มีส่วนผสมของยาชาเช่นเดียวกัน เนื้อฟิลเลอร์นิ่มและมีความยืดหยุ่นสูง มีขนาดโมเลกุลค่อนข้างเล็ก เมื่อฉีดเข้าผิวจะดูกลืนและเนียนไปกับผิว
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

6. Restylane Classic
เหมาะกับบริเวณที่ริ้วรอยค่อนข้างลึก เช่น รอยย่นระหว่างคิ้ว รอยย่นหน้าผาก
มีส่วนผสมของยาชา ฟิลเลอร์มีอนุภาคขนาดใหญ่ เนื้อฟิลเลอร์แข็งในระดับปานกลาง จึงช่วยเติมเต็มริ้วรอยแบบลึกได้ดี
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
