ความดันสูง vs ความดันต่ำ ต่างกันยังไง? อันไหนน่ากลัวกว่ากัน

มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตรวจสุขภาพแล้วพบว่า ค่าความดันสูง หรือความดันต่ำกว่าปกติ แต่ไม่ทราบว่าค่าความดันแต่ละแบบต่างกันอย่างไร? หรือสะท้อนภาวะสุขภาพแบบไหน ตัวเลขเหล่านี้แม้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วเป็นค่าที่มีความสัมพันธ์กับระดับแรงดันเลือดที่ไหลผ่านหลอดเลือดแดงในขณะที่หัวใจบีบตัวและคลายตัว ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 120-129/80-84 mmHg และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงเวลาของวัน แต่หากค่าความดันเบี่ยงเบนจากระดับปกติเป็นเวลานาน อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม บทความนี้จาก LINNA Clinic (ลินนา คลินิก) จะชวนมาทำความเข้าใจความแตกต่างของภาวะความดันสูงและความดันต่ำ อาการที่ไม่ควรมองข้าม และแนวทางดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งกว่าของตัวคุณและคนที่คุณรัก

Table of Contents

ความดันสูง (Hypertension) คืออะไร เกิดจากอะไร?

ความดันสูง (Hypertension) คือ ภาวะที่ค่าความดันโลหิตตัวบนมากกว่าหรือเท่ากับ 140 mmHg และ/หรือตัวล่างมากกว่าหรือเท่ากับ 90 mmHg ในขณะพักอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจสูงแค่เพียงค่าเดียวหรือทั้งสองค่า โดยภาวะความดันสูงมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรกและมักตรวจพบเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม อายุที่เพิ่มขึ้น ภาวะน้ำหนักตัวเกิน ขาดการออกกำลังกาย การทานอาหารรสเค็มจัด การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

อาการความดันสูง

ภาวะความดันโลหิตสูงมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น แต่มักตรวจพบเมื่อระดับความดันโลหิตเพิ่มสูงถึงขั้นที่เป็นอันตราย โดยมีอาการที่พบได้บ่อย ดังนี้

  • วิงเวียน ปวดศีรษะโดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย
  • ใจสั่น หายใจเร็ว หรือแน่นหน้าอก
  • สายตาพร่ามัว มองเห็นภาพไม่ชัดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
  • ในบางรายอาจมีเลือดกำเดาไหลร่วมด้วย
  • หากความดันสูงมาก อาจเสี่ยงภาวะหัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมองแตก

ความดันสูงแบบไหนอันตราย ควรรีบพบแพทย์

หากผู้ที่มีประวัติความดันโลหิตสูง ตรวจพบค่าความดันที่พุ่งสูงถึงระดับวิกฤต (เกิน 180/120 mmHg) หรือมีอาการผิดปกติรุนแรงร่วมด้วย เช่น หายใจลำบาก เจ็บแน่นหน้าอก แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด มึนงงเฉียบพลัน ชัก หรือหมดสติ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

วิธีดูแลตัวเองเมื่อความดันสูง ลดความดันสูง

  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสจัด ลดเค็ม หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป ของหมักดอง
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน
  • ดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น โดยควรดื่มให้ได้อย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร
  • หลีกเลี่ยงความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่ง และตรวจความดันสม่ำเสมอ

ความดันต่ำ (Hypotension) คืออะไร เกิดจากอะไร?

ความดันต่ำ (Hypotension) คือภาวะที่ความดันโลหิตตัวบนต่ำกว่า 90 mmHg และ/หรือตัวล่างต่ำกว่า 60 mmHg ซึ่งอาจต่ำแค่เพียงค่าเดียวหรือทั้งสองค่า ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้ไม่เพียงพอ ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น พักผ่อนน้อย ขาดน้ำ การอดอาหาร ภาวะเครียด โรคหัวใจ หรือเป็นอาการตอบสนองต่อยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยาลดความดันหรือยาขับปัสสาวะ

อาการความดันต่ำ

  • เวียนศีรษะ หน้ามืด โดยเฉพาะเวลาเปลี่ยนท่าทางเร็วๆ
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
  • ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • มือเท้าเย็น ตัวซีด มีเหงื่อออกมาก
  • ในบางรายอาจมีอาการสับสน มึนงง หรือถึงขั้นหมดสติ

อาการแบบไหนที่ควรพบแพทย์

หากมีอาการหน้ามืด ปวดศีรษะรุนแรง สายตาพร่ามัว ใจเต้นเร็ว หายใจไม่อิ่ม หรือเกือบหมดสติบ่อยครั้ง ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินหาสาเหตุ เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะความดันโลหิตต่ำที่เป็นอันตราย ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจเสี่ยงต่อภาวะช็อก หรืออวัยวะสำคัญในร่างกายขาดเลือด

วิธีดูแลตัวเองเมื่อความดันต่ำ

  • ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพื่อส่งเสริมการไหลเวียนเลือด
  • หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่พอเหมาะ หลีกเลี่ยงการทานมากเกินไปในแต่ละมื้อ เพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตลดต่ำลงหลังรับประทานอาหาร
  • หมั่นออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ฝึกโยคะ ฯลฯ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
  • งดสูบบุหรี่ และงดดื่มแอลกอฮอล์

ความดันสูง และ ความดันต่ำ ต่างกันอย่างไร? แบบไหนอันตรายมากกว่ากัน

  • ภาวะความดันโลหิตสูงและความดันโลหิตต่ำมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในด้านระดับค่าความดัน ผลกระทบต่อร่างกาย โดยภาวะความดันสูงเป็นเหมือนภัยเงียบที่มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ควบคุม อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงในระยะยาว เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตเสื่อมเรื้อรัง ฯลฯ ส่วนภาวะความดันต่ำ แม้ดูเหมือนมีผลกระทบน้อยกว่าและไม่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรังรุนแรงเหมือนความดันสูง แต่ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือภาวะฉุกเฉินได้ทันที เช่น เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม หรือหมดสติ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เสี่ยง เช่น ขณะขับรถ ระหว่างทำงานหรืออยู่ในที่สูง

    จึงอาจสรุปได้ว่า ภาวะความดันโลหิตผิดปกติไม่ว่าจะเป็น “ความดันสูง” หรือ “ความดันต่ำ” ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาในร่างกายที่ไม่ควรมองข้าม หากตรวจพบว่ามีภาวะความดันผิดปกติ ควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย วัดความดันตัวเองเป็นประจำ และปรับพฤติกรรมดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

ข้อแนะนำในการวัดความดันตัวเองทุกวัน

  • การวัดความดันโลหิตด้วยตัวเองทุกวันเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้สามารถติดตามสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงหรือได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะความดันโลหิตสูงหรือความดันต่ำ โดยมีข้อแนะนำสำหรับการวัดความดันด้วยตนเอง ดังนี้

    • ควรวัดความดันวันละ 2 ครั้ง ได้แก่ ในช่วงเช้าภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังตื่นนอน และก่อนเข้านอน โดยวัดต่อเนื่องกัน 2-3 ครั้ง เว้นระยะห่างระหว่างครั้งประมาณ 1-2 นาที แล้วหาค่าเฉลี่ยเพื่อเพิ่มความแม่นยำก่อนวัดความดัน
    • ก่อนวัดความดัน ควรพักร่างกายอย่างน้อย 5-10 นาที หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ สูบบุหรี่ หรือออกกำลังกายก่อนวัด เพราะอาจทำให้ค่าคลาดเคลื่อน
    • ขณะวัดควรนั่งในท่าที่ถูกต้อง โดยนั่งบนเก้าอี้ที่มีพนักพิง วางเท้าทั้ง 2 ข้างราบกับพื้น และวางแขนบนโต๊ะให้อยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ สวมปลอกแขนไว้ที่ต้นแขน เหนือจากข้อศอกประมาณ 1-2 เซนติเมตร
    • งดพูดคุยหรือเคลื่อนไหวในระหว่างวัด เพื่อป้องกันผลการวัดที่คลาดเคลื่อน
    • บันทึกค่าความดันอย่างละเอียดทุกครั้งที่วัด ทั้งค่าบน ค่าล่างและอัตราการเต้นของหัวใจ โดยทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-7 วัน เพื่อใช้ในการติดตามผลร่วมกับแพทย์
    • แนะนำให้ใช้เครื่องวัดความดันแบบอัตโนมัติ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานทางการแพทย์ ซึ่งใช้งานง่าย ให้ผลลัพธ์ที่เที่ยงตรง และมีความน่าเชื่อถือ

สรุป

  • ภาวะความดันโลหิตสูงและความดันโลหิตต่ำต่างเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะสั้นและระยะยาวได้แตกต่างกัน โดยเฉพาะความดันสูงที่มักไม่แสดงอาการในช่วงแรก แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และภาวะไตเสื่อม ในขณะที่ความดันต่ำแม้อาจดูไม่อันตราย แต่หากเกิดอาการรุนแรง เช่น หน้ามืด เป็นลม หรือหมดสติบ่อยครั้ง ซึ่งไม่ควรมองข้ามเช่นเดียวกัน

    หากคุณมีค่าความดันโลหิตที่ผิดปกติ หรือมีอาการเวียนศีรษะ ใจสั่น เหนื่อยง่าย ควรเข้ารับการประเมินกับแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง และวางแผนดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม เพราะการดูแลตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ คือกุญแจสำคัญของการมีสุขภาพที่ดียิ่งกว่า สนใจตรวจประเมินความเสี่ยง หรือวางแผนฟื้นฟูสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดแบบเฉพาะรายบุคคลโดยไม่ต้องใช้ยา ดูแลทุกขั้นตอนโดยทีมแพทย์ประสบการณ์สูงที่ LINNA Clinic สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ @linnaclinic, Whatsapp +66919799554  หรือโทร 063-609-8888 ได้เลยค่ะ

Related Articles

8 ข้อควรรู้ก่อนฉีดสเต็มเซลล์ Stem Cell หน้าใส ย้อนวัยระดับ DNA

พูดได้เลยว่าในปัจจุบันมีหัตถการที่ช่วยยกกระชับ ปรับผิวให้กลับมาเรียบเนียนเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ยิ่งกว่าที่เคยให้เราเลือกทำหลากหลายวิธีมาก ซึ่งแต่ละวิธีก็มีจุดเด่นและให้ผลลัพธ์หลังการรักษาที่แตกต่างกันออกไป หนึ่งในหัตถการที่ช่วยย้อนวัยให้ผิวลึกถึงระดับเซลล์ ที่โด่งดังและมีประวัติใช้รักษามาอย่างยาวนาน คือ การฉีดสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ที่ใช้วิธีเซลล์ซ่อมเซลล์ การฉีด Stem Cell คืออะไร? ปลอดภัยและเห็นผลดีจริงไหม? ลินนาคลินิก (Linna Clinic) รวม 8 ข้อควรรู้ก่อนฉีดสเต็มเซลล์ (Stem cell) มาไว้เพื่อเป็นแนวทางในการประกอบการตัดสินใจให้กับทุกคนไว้ในบทความนี้แล้ว Table of Contents Stem cell คืออะไร ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนว่าในร่างกายของเรานั้นประกอบขึ้นด้วยเซลล์ขนาดเล็กจิ๋ว กว่า 100 ล้านล้านเซลล์ ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะรวมตัวกันและกลายเป็นระบบอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ เช่น เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ผิวหนัง เซลล์ประสาท เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาว ฯลฯ สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คือ เซลล์ต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ซึ่งจัดเป็นเซลล์ตัวอ่อนที่ยังไม่มีหน้าที่จำเพาะเจาะจง และสามารถแบ่งตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งในภายหลังสเต็มเซลล์สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์อื่นๆ ได้ เช่น

Brain Fog คืออะไร? สาเหตุ อาการ และวิธีฟื้นฟูภาวะสมองล้า

คุณเคยรู้สึกว่าเวลาที่ร่างกายตื่นแล้ว แต่สมองกลับทำงานช้าลง คิดอะไรไม่ออก หรือขาดสมาธิใช่ไหม? อาการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะที่เรียกว่า Brain Fog หรือภาวะสมองล้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและประสิทธิภาพการทำงานได้มากกว่าที่คิด บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จัก Brain Fog ตั้งแต่อาการ สาเหตุ วิธีป้องกัน และแนวทางฟื้นฟูสมองให้กลับมาแจ่มชัดเหมือนเดิม Table of Contents Brain Fog คืออะไร? Brain Fog หรือ “สมองล้า–สมองลอย” ไม่ได้เป็นโรคโดยตรง แต่เป็น ภาวะผิดปกติชั่วคราวของการทำงานสมอง ทำให้เกิดอาการเหมือนสมองไม่ปลอดโปร่ง คิดช้า สมาธิสั้น หลงลืมง่าย หรือรู้สึกเบลอๆ เหมือนมีหมอกปกคลุมอยู่ในหัว คนที่เป็นมักจะบอกว่า “คิดอะไรไม่ออก สมองตัน” นี่อาจเป็น สัญญาณเตือน ว่าร่างกายและสมองกำลังเผชิญกับภาวะ Brain Fog เกิดความเครียด ความล้า หรือความไม่สมดุลบางอย่าง เช่น ฮอร์โมน การนอนหลับ หรือสารอาหารที่ขาดหายไป อาการที่บ่งบอกว่ากำลังเผชิญกับ Brain Fog Brain

Apple Watch ผู้ช่วยสุขภาพที่ไม่ได้แค่บอกเวลา

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับการใช้ชีวิตประจำวัน อุปกรณ์เล็กๆ บนข้อมืออย่าง Apple Watch กลายเป็นผู้ช่วยดูแลสุขภาพที่หลายคนคาดไม่ถึง เพราะนอกจากบอกเวลาได้แล้ว ยังสามารถติดตามการออกกำลังกาย ตรวจวัดการเต้นของหัวใจ บันทึกการนอน ไปจนถึงช่วยเตือนให้คุณลุกขึ้นขยับร่างกายเมื่อคุณนั่งนานเกินไป เรียกได้ว่าเป็น “โค้ชสุขภาพส่วนตัว” ที่อยู่ใกล้ตัวคุณตลอด 24 ชั่วโมง Table of Contents Apple Watch คืออะไร Apple Watch คือ สมาร์ตวอทช์ (Smartwatch) ที่ผลิตโดยบริษัท Apple Inc. เป็นอุปกรณ์สวมใส่ที่ข้อมือ ซึ่งออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับ iPhone เป็นหลัก แต่รุ่นใหม่ๆ จะมีความสามารถในการเชื่อมต่อ Cellular เพื่อใช้งานได้อิสระมากขึ้น เป็นอุปกรณ์สวมใส่สุดอัจฉริยะที่ผสมผสานระหว่างฟังก์ชันการบอกเวลา การเชื่อมต่อสื่อสาร ที่โดดเด่นที่สุดคือคุณสมบัติด้านสุขภาพและการออกกำลังกาย ทำให้มันกลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่คอยดูแลสุขภาพรวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของผู้ใช้งาน Apple Watch ทำอะไรได้บ้าง หน้าที่พื้นฐานของนาฬิกาคือการบอกเวลา แต่ Apple Watch สามารถแสดงข้อมูลอื่นๆ บนหน้าปัดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น วันที่ สภาพอากาศ กิจกรรมประจำวัน

Shopping Cart
Scroll to Top