5 วิธีลดถุงใต้ตา บอกลาตาบวมตุ่ยฉบับง่ายและทำได้ทุกคน

สาว ๆ ที่ใช้ชีวิตหักโหม กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนหยิบกระจกมาส่องแล้วเห็นใต้ตาดำคล้ำ พร้อมถุงใต้ตาที่บวมตุ่ย งานนี้คงทำให้คุณกรี๊ดไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ เพราะเจ้าถุงใต้ตาเนี่ยทำให้ความสวยเราหมดไป แถมด้วยความโทรมเข้ามาแทนที่ แบบนี้ไม่โอเคเลย ทางที่ดีมากำจัดถุงใต้ตาด้วย 5 วิธีที่เรานำมาฝากในวันนี้กันดีกว่าค่ะ บอกเลยว่าทำได้ง่ายๆ

1. ใช้ช้อนเย็น – วิธีนี้แหละง่ายและทำได้ทุกคนแน่นอน แค่นำช้อนไปแช่ไว้ในตู้เย็นสัก 10-15 นาที จากนั้นนำมาครอบไว้บนเบ้าตาจนกว่าช้อนจะอุ่น วิธีนี้จะช่วยให้หลอดเลือดหดตัวลงและลดอาการตาบวมได้อยู่หมัด

2. ประคบด้วยถุงชา – นำถุงชามาชงในน้ำร้อน จากนั้นนำไปแช่ตู้เย็นให้หายร้อนสักครู่ แล้วค่อยหยิบถุงชาหรือจะใช้สำลีจุ่มน้ำชาที่ได้มาวางไว้บนเบ้าตาสัก 10-15 นาที เพียงเท่านี้ก็จะช่วยบรรเทาอาการตาบวมให้หายไปได้ง่าย ๆ แล้วค่ะ

3. ใช้ผักช่วยบรรเทา – ลองไปเปิดตู้เย็นแล้วหาดูว่ามีแตงกวาหรือมันฝรั่งบ้างไหม เพราะทั้ง 2 สิ่งนี้แหละที่สามารถช่วยลดถุงใต้ตาและอาการตาบวมได้ค่ะ หากมีแตงกวาลองสไลซ์ให้เป็นแว่นแล้วนำมาวางบนเบ้าตาทิ้งไว้สัก 10 นาทีหรือมากกว่านั้นก็ได้ แต่ถ้าใครมีมันฝรั่งก็ทำคล้าย ๆ กัน คือให้สไลซ์มาวางไว้บนเบ้าตาสัก 15-20 นาทีหรือนานจนกว่าอาการจะดีขึ้น

4. ดื่มน้ำเยอะๆ – หากร่างกายดื่มน้ำไม่เพียงพอ ก็เป็นสาเหตุของการเกิดถุงใต้ตาได้เหมือนกันนะ
วิธีแก้ง่ายๆ ก็แค่ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 8 แก้ว นอกจากจะช่วยลดถุงใต้ตาแล้วยังทำให้ผิวดีอีกต่างหาก

5. บอกลาปัญหาถุงใต้ตา ริ้วรอยใต้ตา ด้วย ‘HIFU’  ใครที่มีปัญหาถุงใต้ตา ลินนามีเทคนิคพิเศษ เป็นเทคนิคเฉพาะช่วยกระชับดวงตา ด้วยเครื่อง HIFU Ultra V รุ่นใหม่ล่าสุด บริเวณใต้ตา หัวพิเศษแบบ Single Shot ที่ออกแบบมาเฉพาะบริเวณผิวบอบบางใต้ตา ลดปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ ที่โบท็อกซ์ไม่สามารถแก้ได้ เช่น แต่งหน้าแล้วรองพื้นตกร่องใต้ตา ที่สำคัญการทำ HIFU ไม่เจ็บ ไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาทำแปปเดียว สำหรับสาวๆคนไหนที่ลองมาทุกวิธีแล้วไม่ทันใจ ขอแนะนำวิธีนี้เลยค่ะ รับรองว่าถูกใจ เหมือนกลับไปเป็นสาวได้ในพริบตา

Before & After

หัว LINNA HIFU ต่างอย่างไรกับที่อื่น

Promotion

สามารถแอดไลน์เพื่อปรึกษาหรือสอบถามโปรโมชั่นพิเศษของทางคลินิก ฟรี เพียง Click ที่ลิ้งค์:

Related Articles

ความดันสูง vs ความดันต่ำ ต่างกันยังไง? อันไหนน่ากลัวกว่ากัน

มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตรวจสุขภาพแล้วพบว่า ค่าความดันสูง หรือความดันต่ำกว่าปกติ แต่ไม่ทราบว่าค่าความดันแต่ละแบบต่างกันอย่างไร? หรือสะท้อนภาวะสุขภาพแบบไหน ตัวเลขเหล่านี้แม้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วเป็นค่าที่มีความสัมพันธ์กับระดับแรงดันเลือดที่ไหลผ่านหลอดเลือดแดงในขณะที่หัวใจบีบตัวและคลายตัว ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 120-129/80-84 mmHg และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงเวลาของวัน แต่หากค่าความดันเบี่ยงเบนจากระดับปกติเป็นเวลานาน อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม บทความนี้จาก LINNA Clinic (ลินนา คลินิก) จะชวนมาทำความเข้าใจความแตกต่างของภาวะความดันสูงและความดันต่ำ อาการที่ไม่ควรมองข้าม และแนวทางดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งกว่าของตัวคุณและคนที่คุณรัก Table of Contents ความดันสูง (Hypertension) คืออะไร เกิดจากอะไร? ความดันสูง (Hypertension) คือ ภาวะที่ค่าความดันโลหิตตัวบนมากกว่าหรือเท่ากับ 140 mmHg และ/หรือตัวล่างมากกว่าหรือเท่ากับ 90 mmHg ในขณะพักอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจสูงแค่เพียงค่าเดียวหรือทั้งสองค่า โดยภาวะความดันสูงมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรกและมักตรวจพบเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม อายุที่เพิ่มขึ้น ภาวะน้ำหนักตัวเกิน ขาดการออกกำลังกาย การทานอาหารรสเค็มจัด การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อาการความดันสูง ภาวะความดันโลหิตสูงมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น แต่มักตรวจพบเมื่อระดับความดันโลหิตเพิ่มสูงถึงขั้นที่เป็นอันตราย โดยมีอาการที่พบได้บ่อย ดังนี้

กินผักแล้วตายไว สาเหตุเกิดจากอะไร?

ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายเป็นประจำ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ แต่จากประสบการณ์ของ LINNA Clinic ซึ่งให้บริการด้านสุขภาพและเวชศาสตร์ฟื้นฟู (Health & Wellness) พบว่ามีผู้เข้ารับบริการจำนวนไม่น้อยที่แม้จะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แต่ค่าเลือดมีความผิดปกติ และตรวจพบโลหะหนักปนเปื้อนในร่างกาย ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าในแต่ละวันร่างกายของเราอาจได้รับโลหะหนักปนเปื้อนแบบไม่ทันรู้ตัว ไม่ว่าจะมาจากมลภาวะ ฝุ่น ควัน หรือแม้แต่อาหารอย่างผักและผลไม้ ที่แม้จะดูเฮลตี้มากแค่ไหนก็อาจแฝงภัยเงียบอย่าง “โลหะหนัก” ซึ่งสามารถสะสมในร่างกายและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของโรคเรื้อรังที่ฉุดรั้งคุณภาพชีวิตให้ลดลง บทความนี้จาก LINNA Clinic (ลินนา คลินิก) จะพาคุณไขความจริง ทำไม “กินผัก” อาจเสี่ยง “ตายไว”? ผักที่เรากินทุกวันมีโลหะหนักปนเปื้อนจริงไหม? และมีวิธีไหนบ้างที่ช่วยป้องกัน และลดความเสี่ยงจากโลหะหนักที่คนรักสุขภาพไม่ควรมองข้าม Table of Contents โลหะหนักที่สามารถพบได้ในผัก มีอะไรบ้าง แม้ผักจะเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ในบางกรณี ผักบางชนิดที่ปลูกในดินหรือน้ำที่ปนเปื้อน รวมถึงการใช้สารเคมีของเกษตรกร อาจมีโลหะหนักตกค้างอยู่ในปริมาณที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยโลหะหนักที่มักตรวจพบในผัก ได้แก่ ตะกั่ว (Lead) แคดเมียม (Cadmium) ปรอท

ผลข้างเคียงของผู้ที่เคยฉีดวัคซีนโควิดชนิด mRNA (Pfizer, Moderna) และแนวทางการฟื้นฟูสุขภาพ

วัคซีนโควิดชนิด mRNA อย่าง Pfizer และ Moderna ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงวิกฤตการณ์ระบาดใหญ่ เพื่อใช้ลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยจากข้อมูลในปัจจุบันพบว่ามีจำนวนการฉีดวัคซีน mRNA สะสมแล้วนับพันล้านโดสทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป มีเสียงสะท้อนจากผู้ที่เคยฉีดวัคซีนบางรายถึงผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามถึงความปลอดภัยในระยะยาว ทั้งนี้ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2023 รัฐเทกซัสได้ยื่นฟ้องบริษัท Pfizer ฐานโฆษณาหลอกลวง และทำให้ประชาชนเข้าใจผิด (1) อันเป็นการละเมิดกฎหมาย Deceptive Trade Practices Act (DTPA) โดยระบุว่า Pfizer โฆษณาประสิทธิภาพวัคซีนเกินจริง และอาจมีการปกปิดความเสี่ยงบางประการที่อาจเกิดขึ้น โดยคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ หลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้อง และยังไม่มีคำตัดสินถึงที่สุด ณ ปีปัจจุบัน บทความนี้จาก LINNA Clinic (ลินนา คลินิก) มีข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีน mRNA คืออะไร มียี่ห้อไหนบ้าง? ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในบางกรณี พร้อมสำรวจแนวทางการดูแลฟื้นฟูร่างกายหลังฉีดวัคซีนโควิดอย่างเหมาะสมและปลอดภัย Table of Contents วัคซีน mRNA คืออะไร?

Shopping Cart
Scroll to Top