วิตามินผิวที่ใคร ๆ ก็ฮิต มันดียังไงนะ

IV Therapy หรือวิตามินผิว ถือเป็นอีกหนึ่งเทรนใหม่ที่กำลังมาแรงในเหล่าดารา คนดัง และเน็ตไอดอลในขณะนี้ก็ว่าได้ การให้วิตามินทางหลอดเลือด หรือ IV Therapy จะทำให้สุขภาพดีขึ้น เป็นวิธีการให้วิตามินและแร่ธาตุเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง กระบวนการนี้ทำภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

มีหลายคำถามเกี่ยวกับ IV Therapy วันนี้เราเอาคำตอบจากคุณหมอมาฝากกันนะคะ ​

Q. การให้วิตามินผิวอันตรายไหม

A. อันตรายหรือไม่ขึ้นอยู่กับมาตรฐานของตัวยาและคลินิก ควรเลือกคลินิกที่ได้รับมาตรฐาน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแล และใช้ยาที่ปลอดภัย

Q. ควรให้วิตามินผิวบ่อยแค่ไหน

A. อาทิตย์ละ 1 ครั้ง

Q. ฉีดวิตามินกี่ครั้ง ถึงเห็นผล

A. ระยะเวลาที่จะเห็นผลอยู่ที่ประมาณ 3 สัปดาห์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความถี่ในการฉีด

Q. ใช้เวลานานไหม ในการให้วิตามิน

A. ครั้งละ 30-45 นาที

Q. ฉีดวิตามินแล้วผิวจะขาวใสขึ้นเลยไหม

A. ผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล การให้วิตามินผิวจะช่วยสร้างคอลลาเจนและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวทำให้เซลล์แข็งแรง เมื่อเซลล์แข็งแรง ผิวก็จะมีคุณภาพดีขึ้นจากภายในสู่ภายนอก

IV Therapy สูตรบำรุงผิวของ LINNA Clinic

  1. LINNA Bright: บำรุงผิวให้กระจ่างใส ท้าแดดอย่างมีออร่า
  2. Ultra Shine: ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ แบบเปล่งประกาย
  3. Ultra Plus: งานผิวออร่า ดูแลจากภายใน ทำให้ผิวเเข็งเเรง ผิวละเอียด ลดอาการแพ้ หรือผื่น ตามตัวได้ ไม่ว่าจะนอนดึกหน้าล้าแค่ไหน ก็ตื่นมาพบกับผิวสวยกระจ่างใสในอีกวัน และส่วนผสมหลักนำเข้าจากประเทศเยอรมัน

IV Therapy สูตรบำรุงร่างกายของ LINNA Clinic

  1. E-Booster – เพิ่มความสดชื่น เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยได้พักผ่อน
  2. Liver Detox – ดีท็อกซ์ตับ ล้างสารพิษออกจากร่างกาย
  3. Mayer’s Cocktail – ลดอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง หอบหืด ไมเกรน แพ้อากาศ
  4. Chelation – ลดมลพิษในร่างกาย ปรับสมดุลให้กับร่างกาย

ข้อดีของ IV Therapy

การให้วิตามินผ่านทางเส้นเลือดช่วยให้ดูดซึมธาตุอาหารที่จำเป็น 100% และเห็นผลเร็ว ฟื้นฟูความสมดุลของร่างกายระดับเซลส์ ช่วยเสริมวิตามินเพราะร่างกายท่านจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อมีสมดุลของวิตามินที่จำเป็น ช่วยเพิ่มระดับพลังงานของร่างกาย ทำให้มีแรงขึ้น ดีกว่าการฉีดผิวทั่วไปถึง 3 เท่า การรักษาด้วยวิตามินทางหลอดเลือดดำเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน

สามารถแอดไลน์เพื่อปรึกษาหรือสอบถามโปรโมชั่นพิเศษของทางคลินิก ฟรี เพียง Click ที่ลิ้งค์:

Related Articles

ความดันสูง vs ความดันต่ำ ต่างกันยังไง? อันไหนน่ากลัวกว่ากัน

มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตรวจสุขภาพแล้วพบว่า ค่าความดันสูง หรือความดันต่ำกว่าปกติ แต่ไม่ทราบว่าค่าความดันแต่ละแบบต่างกันอย่างไร? หรือสะท้อนภาวะสุขภาพแบบไหน ตัวเลขเหล่านี้แม้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วเป็นค่าที่มีความสัมพันธ์กับระดับแรงดันเลือดที่ไหลผ่านหลอดเลือดแดงในขณะที่หัวใจบีบตัวและคลายตัว ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 120-129/80-84 mmHg และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงเวลาของวัน แต่หากค่าความดันเบี่ยงเบนจากระดับปกติเป็นเวลานาน อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม บทความนี้จาก LINNA Clinic (ลินนา คลินิก) จะชวนมาทำความเข้าใจความแตกต่างของภาวะความดันสูงและความดันต่ำ อาการที่ไม่ควรมองข้าม และแนวทางดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งกว่าของตัวคุณและคนที่คุณรัก Table of Contents ความดันสูง (Hypertension) คืออะไร เกิดจากอะไร? ความดันสูง (Hypertension) คือ ภาวะที่ค่าความดันโลหิตตัวบนมากกว่าหรือเท่ากับ 140 mmHg และ/หรือตัวล่างมากกว่าหรือเท่ากับ 90 mmHg ในขณะพักอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจสูงแค่เพียงค่าเดียวหรือทั้งสองค่า โดยภาวะความดันสูงมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรกและมักตรวจพบเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม อายุที่เพิ่มขึ้น ภาวะน้ำหนักตัวเกิน ขาดการออกกำลังกาย การทานอาหารรสเค็มจัด การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อาการความดันสูง ภาวะความดันโลหิตสูงมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น แต่มักตรวจพบเมื่อระดับความดันโลหิตเพิ่มสูงถึงขั้นที่เป็นอันตราย โดยมีอาการที่พบได้บ่อย ดังนี้

กินผักแล้วตายไว สาเหตุเกิดจากอะไร?

ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายเป็นประจำ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ แต่จากประสบการณ์ของ LINNA Clinic ซึ่งให้บริการด้านสุขภาพและเวชศาสตร์ฟื้นฟู (Health & Wellness) พบว่ามีผู้เข้ารับบริการจำนวนไม่น้อยที่แม้จะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แต่ค่าเลือดมีความผิดปกติ และตรวจพบโลหะหนักปนเปื้อนในร่างกาย ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าในแต่ละวันร่างกายของเราอาจได้รับโลหะหนักปนเปื้อนแบบไม่ทันรู้ตัว ไม่ว่าจะมาจากมลภาวะ ฝุ่น ควัน หรือแม้แต่อาหารอย่างผักและผลไม้ ที่แม้จะดูเฮลตี้มากแค่ไหนก็อาจแฝงภัยเงียบอย่าง “โลหะหนัก” ซึ่งสามารถสะสมในร่างกายและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของโรคเรื้อรังที่ฉุดรั้งคุณภาพชีวิตให้ลดลง บทความนี้จาก LINNA Clinic (ลินนา คลินิก) จะพาคุณไขความจริง ทำไม “กินผัก” อาจเสี่ยง “ตายไว”? ผักที่เรากินทุกวันมีโลหะหนักปนเปื้อนจริงไหม? และมีวิธีไหนบ้างที่ช่วยป้องกัน และลดความเสี่ยงจากโลหะหนักที่คนรักสุขภาพไม่ควรมองข้าม Table of Contents โลหะหนักที่สามารถพบได้ในผัก มีอะไรบ้าง แม้ผักจะเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ในบางกรณี ผักบางชนิดที่ปลูกในดินหรือน้ำที่ปนเปื้อน รวมถึงการใช้สารเคมีของเกษตรกร อาจมีโลหะหนักตกค้างอยู่ในปริมาณที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยโลหะหนักที่มักตรวจพบในผัก ได้แก่ ตะกั่ว (Lead) แคดเมียม (Cadmium) ปรอท

ผลข้างเคียงของผู้ที่เคยฉีดวัคซีนโควิดชนิด mRNA (Pfizer, Moderna) และแนวทางการฟื้นฟูสุขภาพ

วัคซีนโควิดชนิด mRNA อย่าง Pfizer และ Moderna ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงวิกฤตการณ์ระบาดใหญ่ เพื่อใช้ลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยจากข้อมูลในปัจจุบันพบว่ามีจำนวนการฉีดวัคซีน mRNA สะสมแล้วนับพันล้านโดสทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป มีเสียงสะท้อนจากผู้ที่เคยฉีดวัคซีนบางรายถึงผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามถึงความปลอดภัยในระยะยาว ทั้งนี้ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2023 รัฐเทกซัสได้ยื่นฟ้องบริษัท Pfizer ฐานโฆษณาหลอกลวง และทำให้ประชาชนเข้าใจผิด (1) อันเป็นการละเมิดกฎหมาย Deceptive Trade Practices Act (DTPA) โดยระบุว่า Pfizer โฆษณาประสิทธิภาพวัคซีนเกินจริง และอาจมีการปกปิดความเสี่ยงบางประการที่อาจเกิดขึ้น โดยคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ หลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้อง และยังไม่มีคำตัดสินถึงที่สุด ณ ปีปัจจุบัน บทความนี้จาก LINNA Clinic (ลินนา คลินิก) มีข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีน mRNA คืออะไร มียี่ห้อไหนบ้าง? ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในบางกรณี พร้อมสำรวจแนวทางการดูแลฟื้นฟูร่างกายหลังฉีดวัคซีนโควิดอย่างเหมาะสมและปลอดภัย Table of Contents วัคซีน mRNA คืออะไร?

Shopping Cart
Scroll to Top