10 ข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี?

สารบัญ

ปัจจุบันนี้การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) นับเป็นหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะสามารถเลือกฉีดได้หลายจุดตามที่ลูกค้าต้องการ ทั้งฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ปาก หรือจะฟิลเลอร์คางก็ทำได้ โดยการฉีดฟิลเลอร์จะช่วยทำให้ผิวหน้าของเรากลับมาเรียบเนียน เต่งตึง ดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้นและยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวในระยะยาว แต่สำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ คงมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับฟิลเลอร์ ทำไมบางคนฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่เห็นผล ฉีดฟิลเลอร์ปลอดภัยจริงไหม ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี วันนี้ Linna Clinic จะมาตอบทุกคำถามชวนสงสัยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ ที่ควรรู้เอาไว้ก่อนการตัดสินใจฉีด

5. บอกลาปัญหาถุงใต้ตา ริ้วรอยใต้ตา ด้วย ‘HIFU’  ใครที่มีปัญหาถุงใต้ตา ลินนามีเทคนิคพิเศษ เป็นเทคนิคเฉพาะช่วยกระชับดวงตา ด้วยเครื่อง HIFU Ultra V รุ่นใหม่ล่าสุด บริเวณใต้ตา หัวพิเศษแบบ Single Shot ที่ออกแบบมาเฉพาะบริเวณผิวบอบบางใต้ตา ลดปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ ที่โบท็อกซ์ไม่สามารถแก้ได้ เช่น แต่งหน้าแล้วรองพื้นตกร่องใต้ตา ที่สำคัญการทำ HIFU ไม่เจ็บ ไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาทำแปปเดียว สำหรับสาวๆคนไหนที่ลองมาทุกวิธีแล้วไม่ทันใจ ขอแนะนำวิธีนี้เลยค่ะ รับรองว่าถูกใจ เหมือนกลับไปเป็นสาวได้ในพริบตา

ฟิลเลอร์คืออะไร

ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มผิวประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ “HA” (เอชเอ) ใช้สำหรับฉีดเข้าไปในบริเวณต่างๆทั่วใบหน้า เพื่อช่วยเติมเต็มในส่วนที่เป็นร่องลึกหรือเติมเต็มริ้วรอย ให้ผิวกลับมาเต่งตึง กระชับ หน้าดูเด็กลง เห็นผลทันทีหลังฉีด 

ฟิลเลอร์อันตรายไหม

การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงน้อยและไม่เป็นอันตรายค่ะ แต่ทั้งนี้เราต้องพิจารณาปัยจัยต่างๆก่อนการตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและเพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง ดังนี้ค่ะ

  1. มาตรฐานของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ เราสามารถเช็คความน่าเชื่อถือจากยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่แต่ละคลีนิกเลือกใช้ได้เลยค่ะ โดยฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. ประเทศไทยและนิยมใช้กันเป็นประจำ ได้แก่ยี่ห้อ RESTYLANE, JUVEDERM, BELOTERO ค่ะ หากไปเจอว่าเป็นยี่ห้ออื่นที่ไม่ผ่านการรับรอง ไม่มีทั้งตรา อย. ไม่มีฉลากข้อมูลเป็นภาษาไทย ไม่มีเลข lot ผลิตติดอยู่บนกล่องหรือหลอด ให้สันนิษฐานได้เลยค่ะว่าเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรืออาจเป็นซิลิโคนเหลวที่อันตรายต่อผิวมาก หากเผลอฉีดเข้าไป อาจทำให้ผิวเกิดก้อนแข็ง ฟิลเลอร์ไหล จนทำให้ใบหน้าเสียรูปได้เลยค่ะ
  2. ราคาของการฉีดฟิลเลอร์ ราคาโดยปกติของการฉีดฟิลเลอร์จะอยู่ที่ 10,000 – 20,000 บาท/CC. ค่ะ หากไปเจอฟิลเลอร์ราคาถูกหรือราคาแค่หลักพันต้นๆ แบบนี้ก็ให้สันนิษฐานไว้ได้เลยค่ะว่าฟิลเลอร์ที่ใช้ไม่มีมาตรฐาน
  3. ความมีมาตรฐานของคลีนิก การฉีดฟิลเลอร์ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูง มีเทคนิคเฉพาะที่ดี ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานค่ะ การให้บุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาฉีดฟิลเลอร์และใช้เครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นสิ่งที่อันตรายมากสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ค่ะ อาจเสี่ยงต่อการอักเสบและติดเชื้อ หรือหากฉีดลงไปผิดจุดก็มีโอกาสทำให้ตาบอดได้เลยค่ะ  

ฉีดฟิลเลอร์ที่จุดไหนได้บ้าง จุดไหนที่คนนิยมฉีด

สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้หลายตำแหน่ง ขึ้นอยู่กับปัญหาที่คนไข้ต้องการให้ช่วยแก้ไขหรือปรับเพิ่มได้เลยค่ะ โดยจุดที่คนนิยมทำฟิลเลอร์กัน ได้แก่ ฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์ร่องตา ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ฟิลเลอร์ปาก และฟิลเลอร์คางค่ะ มีเหตุผลทั้งเพื่อความงาม ลดเลือนริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้าให้สมส่วนและการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมโหงวเฮ้งก็มีเช่นกันค่ะ

  • ฟิลเลอร์หน้าผาก ช่วยให้รอยย่นหรือร่องที่หน้าผากตื้นขึ้น ปรับให้ใบหน้าสวยละมุน ช่วยปรับโหงวเฮ้ง บริเวณหน้าผากใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 3-5 CC.
  • ฟิลเลอร์ขมับ คนไข้บางคนบริเวณขมับจะตอบ จนทำให้ใบหน้าดูไม่สมส่วน การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยปรับใบหน้าให้สวยสมส่วน โดยบริเวณขมับใช้ฟิลเลอร์ข้างละ 2-3 CC.
  • ฟิลเลอร์ร่องตา ปัญหากระดูกใต้ตายุบตัวและกล้ามเนื้อใต้ตาไม่กระชับเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดร่องลึกใต้ตาได้ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเสริมให้ดวงตากลมโต ดูสดใสขึ้น หน้าดูเด็กลง บริเวณร่องตาใช้ฟิลเลอร์ข้างละ 1-2 CC.
  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ผิวที่หย่อนคล้อยเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้เห็นริ้วรอยได้ชัดเจนโดยเฉพาะตรงส่วนร่องแก้มที่เป็นริ้วรอยแบบลึก ทำให้ดูแก่กว่าวัย เมื่อฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะช่วยเติมเต็มให้ใบหน้าดูสวย อิ่มฟู หน้าดูเด็กลงค่ะ บริเวณร่องแก้มใช้ฟิลเลอร์ข้างละ 1-3 CC.
  • ฟิลเลอร์ปาก ด้วยกระแสริมฝีปากอวบอิ่มที่เป็นที่นิยมมากในตอนนี้ คนไข้บางท่านจึงอยากเพิ่มความอวบอิ่มและความคมชัดของรูปปาก ทำให้ปากเป็นกระจับ ดูเซ็กซี่ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้สำหรับบริเวณปากประมาณ 1-2 CC.
  • ฟิลเลอร์คาง ช่วยแก้ปัญหาคางบุ๋ม เสริมคางให้ดูยาวขึ้น ปรับหน้าให้เรียวสมส่วน มีความวีเชฟมากขึ้น บริเวณคางใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1-2 CC.

รีวิวการฉีดฟิลเลอร์ที่ LINNA CLINIC

ฟิลเลอร์กับซิลิโคนเหลวต่างกันยังไง

หลายๆคนอาจเข้าใจว่า ฟิลเลอร์ กับ ซิลิโคนเหลว คือตัวเดียวกัน แต่เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ ก่อนอื่นต้องเคลียร์ให้เข้าใจตรงกันก่อนค่ะว่า ฟิลเลอร์และซิลิโคนเหลวเป็นสารเติมเต็มผิวคนละชนิดกัน โดยเราสามารถแบ่งประเภทของสารเติมเต็มผิวได้ 3 ชนิด ดังนี้ค่ะ

  • สารเติมเต็มแบบชั่วคราว (Temporary Filler) เป็นสารที่ผลิตจากธรรมชาติ ตัวที่นิยมฉีดกันมากๆ คือ สารไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ค่ะ เมื่อฉีดไปแล้วจะอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ข้อดีของสารกลุ่มนี้คือ มีความปลอดภัยสูง เกิดอาการแพ้ได้น้อยและสามารสลายตัวได้เองตามธรรมชาติค่ะ
  • สารเติมเต็มแบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler) เป็นสารเติมเต็มที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อให้เข้ากับเนื้อเยื่อในชั้นผิวของเราค่ะ ข้อดีคือเมื่อฉีดแล้วจะอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์แบบชั่วคราว โดยอยู่ได้นานถึง 24 เดือนเลยค่ะ และสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ตัวที่นิยมฉีดกัน คือ สารโพลีอัลคิลลิไมด์ (Polyakylimide) และสาร PMMA (Polymethyl-methacrylate)
  • สารเติมเต็มแบบถาวร (Permanent Filler) ซึ่งก็คือ ซิลิโคนเหลว หรือน้ำมันพาราฟินค่ะ สารเติมเต็มประเภทนี้เมื่อฉีดไปแล้วจะได้ผลลัพธ์แบบถาวรและไม่สามารถสลายได้เองค่ะ โดยในปัจจุบันคลีนิกต่างๆที่มีมาตรฐานจะไม่นิยมนำมาฉีดให้คนไข้ เพราะซิลิโคนเหลวไม่ปลอดภัยต่อผิว เมื่อเวลาผ่านไปช่วงหนึ่งซิลิโคนเหลวจะทำปฏิกิริยากับเซลล์ผิวในร่างกายและเริ่มจับตัวเป็นก้อนแข็ง ทำให้ผิวหน้าดูแข็งตึง ผิดรูป เกิดปัญหาฟิลเลอร์ไหลย้อนไปยังจุดอื่นๆบนใบหน้า จนทำให้ใบหน้าเสียรูป อีกทั้งยังมีความเสี่ยงสูงมากๆที่จะทำให้เกิดอาการอักเสบ บวมแดงและติดเชื้ออีกด้วยค่ะ ซึ่งตัวซิลิโคนเหลวหรือน้ำมันพาราฟิน เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวแล้วจะไม่สามารถสลายตัวได้ จำเป็นต้องทำการผ่าตัดเพื่อขูดออกเท่านั้น

ดูฟิลเลอร์แท้อย่างไร

เพราะการฉีดฟิลเลอร์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ความต้องการฟิลเลอร์จึงสูงตามไปด้วย ทำให้มีฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานถูกผลิตออกมาและแฝงตัวอยู่ในตลาดความงาม สิ่งที่น่ากลัวคือในสมัยนี้ของปลอมทำได้เนียนมากจนแยกแทบจะไม่ออกเลยค่ะ แต่ทั้งนี้ยังมีจุดสังเกตที่เราสามารถแยกได้ชัดๆระหว่างฟิลเลอร์แท้กับฟิลเลอร์ปลอม ดังนี้ค่ะ

  • ฟิลเลอร์แท้ที่ใช้ได้ในคลีนิกในประเทศไทย จะต้องเป็นยี่ห้อที่ได้รับมาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก อย. ของไทย และต้องมีเลขทะเบียน อย. อยู่บนกล่อง ซึ่งที่นิยมใช้กันทั่วไปได้แก่ยี่ห้อ RESTYLANE, JUVEDERM และ BELOTERO ค่ะ
  • มีเอกสารและรายละเอียดกำกับภาษาไทยอย่างครบถ้วน
  • มีเลขที่ Lot การผลิตบนกล่อง ซองหรือบนหลอดตรงกัน
  • ตรวจดูราคาค่ะ หากราคาถูกเกินไป แบบนี้ให้สงสัยไว้ก่อนเลยค่ะว่าเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเป็นฟิลเลอร์ปลอมได้

ฟิลเลอร์อยู่ได้นานไหม

ในปัจจุบันฟิลเลอร์ที่ผ่านมาตรฐาน อย. สามารถเห็นผลลัพธ์หลังการฉีดได้นาน 1-2 ปีค่ะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ดำเนินหัตถการ การดูแลผิวหลังฉีดของคนไข้และยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ค่ะ

  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane ที่ Linna clinic เลือกใช้ เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน ที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลก มีสารใกล้เคียงกับสารไฮยาลูรอนิคแอซิดในร่างกาย ผ่านการรับรองมาตรฐาน อย. จากทั้งประเทศสวีเดนและประเทศไทย
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis เป็นฟิลเลอร์อีกยี่ห้อที่ Linna Clinic เลือกใช้ค่ะ ฟิลเลอร์ตัวนี้เป็นของประเทศเกาหลี ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐาน อย. จากทั้งประเทศเกาหลีและประเทศไทยเช่นเดียวกันค่ะ

ฉีดฟิลเลอร์มา แต่เป็นก้อนเป็นลำ ทำยังไงดี

กรณีที่ฉีดฟิลเลอร์มาสักระยะหนึ่งแล้วพบว่ามีอาการอักเสบ บวมแดง เมื่อจับแล้วรู้สึกผิวแข็งเป็นก้อน เป็นลำ หากฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปตอนแรกเป็นฟิลเลอร์แท้ แบบนี้สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ค่ะ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะฉีดสาร Hyaluronidase เข้าไปตามจุดต่างๆที่ต้องการแก้ไข เพื่อทำการสลายฟิลเลอร์เดิมที่มีอยู่ออกไปจนหมด หากคนไข้ต้องการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปใหม่ก็สามารถฉีดเพิ่มได้เลยค่ะ

แต่หากฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปในตอนแรกเป็นซิลิโคนเหลว หรือเป็นฟิลเลอร์ปลอม จะไม่สามารถใช้วิธีฉีดเพื่อสลายฟิลเลอร์ได้ค่ะ แก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดและขูดฟิลเลอร์ออกเท่านั้น ดังนั้นก่อนการตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์แต่ละครั้งเราจึงควรศึกษารายละเอียดต่างๆให้ถี่ถ้วน เลือกฉีดกับคลีนิกที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือเพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองค่ะ 

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง

  • 1 สัปดาห์ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ ควรงดใช้ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน ยาต้านอักเสบ เช่น Ibruprofen, Ponstan, Naproxen เพื่อป้องกันอาการฟกช้ำหลังการฉีดฟิลเลอร์
  • 1 สัปดาห์ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ ควรงดใช้ยาหรือสารสกัดที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น น้ำมันปลา กระเทียม วิตามินอี สารสกัดโสม ใบแปะก๊วย รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจน
  • 3 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดใช้ยาที่มีฤทธิ์กัดกร่อนหรือผลัดเซลล์ผิว เช่น Retin-A, Retinoid, AHA, BHA และงดการขัดผิว แว็กซ์ขนหรือโกนขนในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพื่องป้องกันอาการระคายเคืองหลังการฉีดฟิลเลอร์
  • หากมีโรคประจำตัวและมียาที่ต้องทานอยู่เป็นประจำ ควรเตรียมข้อมูลเพื่อแจ้งให้แพทย์ผู้ทำการรักษาทราบทุกครั้ง
  • หากมีประวัติแพ้ยาชา ควรแจ้งให้แพทย์ผู้ทำการรักษาทราบก่อนทุกครั้งค่ะ เพราะการฉีดฟิลเลอร์ในบางตำแหน่งจำเป็นต้องฉีดยาชาร่วมด้วย
  • หากมีประวัติแพ้สารไฮยาลูรอนิก หรือเป็นผู้ที่ประสบปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก และกลุ่มคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตร เราขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ไปก่อนจะดีกว่าค่ะ

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง

  • ไม่แคะ แกะ เกาหรือนวดในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์มาและควรกินยาตามที่แพทย์จ่ายมาอย่างต่อเนื่องจนหมด โดยอาการบวมแดงที่เกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์จะหายได้เองภายใน 2-3 วัน หากผ่านไปหลายวันแล้วอาการบวมแดงยังไม่หายไป ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการโดยละเอียดอีกครั้งค่ะ
  • ควรประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 20-30 นาที วันละ 2-3 ครั้ง หลีกเลี่ยงการนวดหน้าหรือสัมผัสบริเวณที่ฉีดแรงๆ หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดเป็นเวลานาน ดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดี
  • หลังฉีดฟิลเลอร์ควรดื่มน้ำเยอะๆ ให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือปริมาณ 1.5 – 2 ลิตร
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศร้อนเป็นเวลานาน เป็นเวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังการฉีดฟิลเลอร์ เช่น ยืนตากแดด อบซาวน่า การทานอาหารปิ้งย่างหรือการทำอาหารที่ต้องยืนหน้าเตาร้อนๆเป็นเวลานาน รวมถึงกิจกรรมที่กระตุ้นการสูบฉีดของเลือดจนทำให้หน้าแดง เช่น การวิ่ง หรือการออกกำลังกายหนักๆ
  • งดการทำเลเซอร์บนใบหน้าอย่างน้อย 1 เดือน
  • หลีกเลี่ยงการนวดใบหน้าด้วยมือหรือเครื่องนวดหน้า รวมถึงไม่ควรขยับผิวหน้าในจุดที่ฉีดฟิลเลอร์มาบ่อยๆ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนได้ค่ะ
  • งดอาหารที่อาจทำให้เกิดอาการอักเสบอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เช่น อาหารหมักดอง อาหารรสจัด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมไปจนถึงควรงดสูบบุหรี่ด้วยค่ะ

หลังฟิลเลอร์สลายหมดแล้ว เปลี่ยนยี่ห้อที่ฉีดได้ไหม

หลังจากที่ฟิลเลอร์ตัวเก่าสลายหมดไปแล้ว สามารถเปลี่ยนยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อเดิม แต่ทั้งนี้ควรรับคำแนะนำจากแพทย์ว่าควรเลือกใช้ยี่ห้อใด รุ่นไหน เพราะฟิลเลอร์แต่ละตัวจะมีขนาดโมเลกุลที่แตกต่างกันออกไป บางตัวเหมาะกับริ้วรอยลึกๆ บางตัวเหมาะกับรอยย่นเล็กๆหรือบริเวณที่มีความละเอียดสูง เช่น บริเวณร่องตา

หากใครที่สนใจการฉีดฟิลเลอร์ แต่ยังไม่มั่นใจว่าการฉีดฟิลเลอร์จะสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้ไหม หรือควรเลือกฉีดที่จุดไหนบ้างจึงจะช่วยให้ใบหน้าได้รูป ดูสมส่วนมากยิ่งขึ้น สามารถเข้ามาปรึกษากับแพทย์ที่ Linna Clinic หรือแอดไลน์เข้ามาเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือจองคิวการรักษาได้เลยค่ะ Linna Clinic เราพร้อมรังสรรค์ความงามให้ทุกท่านด้วยมาตรฐานระดับสากล ดูแลทุกเคสด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ให้คุณมั่นใจได้ในทุกผลลัพธ์

Related Articles

โบท็อก (Botox) 100 ยูนิตคืออะไรฉีดตรงไหนได้บ้าง

หมอขออธิบายว่าโบท็อก (Botox) 100 ยูนิต หมายถึง ปริมาณของสารบอทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin A) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สกัดจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum จำนวน 100 ยูนิต มีคุณสมบัติในการทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ทำให้ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า และลดขนาดกล้ามเนื้อกรามของคนไข้ค่ะ ทั้งนี้ โบท็อก (Botox) 100 ยูนิต ไม่สามารถเทียบเป็น cc ได้นะคะ เนื่องจากต้องนำไปผสมน้ำเกลือก่อนค่ะ Table of Contents ประสิทธิภาพของการฉีด 100 ยูนิต หมอแจ้งให้ทราบถึงประสิทธิภาพของการฉีดโบท็อก (Botox) 100 ยูนิต ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้ ปัญหาที่ต้องการแก้ไข: หากต้องการลดริ้วรอยทั่วหน้า ปริมาณ 100 ยูนิต ถือว่าเพียงพอ หากต้องการลดขนาดกรามหรือฉีดลิฟติ้งใบหน้าอาจต้องใช้โบท็อกมากกว่า 100 ยูนิตค่ะ สภาพผิวและกล้ามเนื้อของแต่ละคน: คนที่มีผิวบางหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจต้องการปริมาณน้อยกว่า ประวัติการฉีดโบท็อก(Botox): หากเคยฉีดมาก่อน

การดื้อโบท็อก (Botox) คืออะไร

การดื้อโบท็อก (Botox resistance) เป็นภาวะที่ร่างกายของเราสร้างภูมิคุ้มกัน (Antibody) ออกมาทำลายยาโบท็อก (Botox) เพราะถูกมองว่าเป็นสารแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย  ทำให้ตัวยาถูกทำลายและไม่ออกฤทธิ์ เป็นปรากฏการณ์ที่คนไข้ได้รับผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อก (Botox) ลดลง หรือแทบไม่มีผลเลย  โดยปกติแล้วโบท็อก (Botox) จะออกฤทธิ์ได้ประมาณ 4-6 เดือน แต่ในบางคนอาจมีผลลัพธ์อยู่ได้เพียง 1-2 เดือนเท่านั้น Table of Contents อาการของการดื้อโบท็อก อาการดื้อโบท็อก (Botox resistance) สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลักๆ ตามลักษณะอาการที่สังเกตได้ ดังนี้ค่ะ ระดับที่ 1 : ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นเหมือนเดิม จากที่ปกติเคยฉีดโบท็อก (Botox) ในปริมาณเท่าเดิม ก็สามารถลดริ้วรอยได้ แต่เมื่อมีภาวะดื้อโบท็อก (Botox) ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นเหมือนเดิม อาจลดริ้วรอยได้น้อยลง หรือริ้วรอยกลับมาเร็วขึ้น ระดับที่ 2 : ต้องใช้ปริมาณโบท็อก (Botox) ที่มากขึ้น จากที่ปกติเคยฉีดโบท็อก (Botox) ในปริมาณเท่าเดิม

วิธีใช้เครื่อง HIFU ในการยกกระชับใบหน้ามีดังนี้

 ทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดและแห้ง ทาเจลหล่อลื่นบนใบหน้าบริเวณที่ต้องการทำ HIFU เลือกหัวยิงให้เหมาะกับบริเวณที่ต้องการทำ HIFU วางหัวยิงบนใบหน้าและกดปุ่มเพื่อเริ่มทำ HIFU เคลื่อนหัวยิงไปตามบริเวณที่ต้องการทำ HIFU โดยกดปุ่มยิงแต่ละจุดค้างไว้จนกว่าเสียงติ๊ดจะดังขึ้น ทำซ้ำขั้นตอน 5-6 กับบริเวณอื่น ๆ ที่ต้องการทำ HIFU ระยะเวลาในการทำ HIFU ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำและระดับความลึกที่ต้องการยิง โดยปกติจะใช้เวลาแปะยาชาทิ้งไว้ 30 นาที และใช้เวลาทำอีกประมาณ 30-60 นาที หากทำไฮฟู่ที่ ลินนาคลินิก (LINNA CLINIC) ทั่วทั้งใบหน้าระยะเวลาอยู่ที่ 15 นาทีโดยที่ไม่ต้องแปะยาชา หลังทำ HIFU อาจจะมีอาการบวมแดงเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน ผลลัพธ์ของการยกกระชับใบหน้าจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นภายใน 1-3 เดือน และผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน  Table of Contents ข้อควรระวังในการทำ HIFU ห้ามทำ HIFU ในบริเวณที่มีแผลเปิดหรืออักเสบ ห้ามทำ HIFU ในบริเวณที่มีโลหะฝังอยู่

Scroll to Top