ฉีดโบท็อก (Botox) แล้ว ห้ามทำอะไร ห้ามกินอะไร เพื่อให้โบท็อก (Botox) อยู่ได้นาน

หมอต้องบอกก่อนว่าการฉีดโบท็อก (Botox)จะให้ผลลัพธ์ที่ชั่วคราว และผลลัพธ์ของโบท็อก (Botox) จะอยู่ได้นานหรือสั้น ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อ ตำแหน่งที่ฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อก (Botox) ก็เป็นส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน โดยหมอจะมาแนะนำว่าหลังฉีดโบท็อก (Botox) ควรดูแลตัวเองอย่างไร ให้โบท็อก (Botox) อยู่กับเราไปได้นานที่สุดดังนี้ค่ะ

Table of Contents

หลังฉีดโบท็อก (Botox) ห้ามทำอะไร

การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อก (Botox) เป็นเรื่องสำคัญ สามารถช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง และทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีบนใบหน้าของคนไข้ได้ค่ะ

4 ชั่วโมงแรกหลังฉีด

  • อย่านวด กด หรือสัมผัสแรงกับใบหน้าบริเวณที่ฉีดโบท็อก (Botox): การสัมผัสอาจทำให้โบท็อก (Botox) กระจายไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการส่งผลต่อผลลัพธ์ บางกรณีอาจทำให้ตาตก คิ้วตก หรือปากเบี้ยวได้
  • อย่านอนราบหรือนอนก้มหน้า: การนอนทันทีหลังฉีดโบท็อก (Botox) หรือก้มหน้าอาจทำให้เลือดไหลเวียนไปที่ใบหน้ามากเกินไป เกิดอาการบวมหรือรอยช้ำได้และการนอนในบางกรณีถ้านอนคว้ำทำให้กดทับบริเวณที่ฉีด อาจทำให้โบท็อก (Botox) กระจายไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้
  • งดการอยู่ในที่ร้อน: ควรหลีกเลี่ยงความร้อนโดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังฉีด (หากทำไม่ได้อย่างน้อย 48 ชม.หลังฉีด) เช่น เข้าซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ๆ ตากแดด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด เช่น RF Thermage 
  • ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ: การดื่มน้ำช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวกและช่วยลดอาการบวม

24-48 ชั่วโมงหลังฉีด

  • งดการออกกำลังกายหนัก: หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นแรง
  • งดใช้เครื่องสำอางที่ผลัดเซลล์ผิว: ควรรอให้รอยเข็มหายสนิทก่อน
  • ทาผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด: ปกป้องผิวจากแสงแดด ช่วยรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน

หลังฉีดโบท็อก (Botox) ห้ามกินอะไร

หลังฉีดโบท็อก เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น อยู่ได้นานขึ้น แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารดังนี้

  1. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
  2. งดทานอาหารที่เผ็ดมาก ๆ จนหน้าแดง
  3. งดอาหารที่นั่งหน้าเตาร้อน ๆ เช่น ปิ้งย่าง ชาบู
  4. งดอาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า มะม่วงดอง หน่อไม้ดอง
  5. งดสูบบุหรี่ เพราะมีสารที่จะไปขยายหลอดเลือด

โดยอาหารที่กล่าวข้างต้น หมอแนะนำให้ควรงดในระยะเวลา 14 วัน แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ควรงดอย่างน้อย 48 ชั่วโมงค่ะ

วิธีการที่ทำให้โบท็อก (Botox) อยู่ได้นาน

การฉีดโบท็อก (Botox) ได้รับความนิยมสูงต่อเนื่องมาเป็นเวลานานเนื่องจากเห็นผลลัพธิ์ได้ชัดเจน ปกติโบท็อก (Botox) จะอยู่ได้นาน 3-6 เดือน หมอขอแนะนำวิธีปฏิบัติตัวก่อนฉีดโบท็อก (Botox) และหลังฉีดโบท็อก (Botox) ที่ทำให้โบท็อก (Botox) อยู่ได้นานกว่าปกตินะคะ

ก่อนที่จะรู้วิธีทำให้โบท็อก (Botox) อยู่ได้นานหมอขออธิบายถึงกลไกการออกฤทธิ์ของโบท็อก เพื่อให้เข้าใจวิธีปฏิบัติตัวก่อนฉีดโบท็อก (Botox) ว่าทำเพื่ออะไร เพื่อให้คนไข้เข้าใจถึงโบท็อก (Botox) มากขึ้นด้วยค่ะ 

เมื่อฉีดโบท็อก (Botox) เข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อ โบท็อก (Botox) จะแยกตัวออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้

  • ส่วนที่ 1 ที่ถูกดูดซึมเข้าไปเก็บเข้าไว้ในเซลล์ประสาทเท่านั้นที่จะออกฤทธิ์

เมื่อโบท็อก (Botox) เข้าสู่เซลล์ประสาท จะจับกับโปรตีนตัวรับที่ผิวเซลล์ประสาท ทำให้สารสื่อประสาทที่เรียกว่า acetylcholine ไม่สามารถหลั่งออกมาได้ ส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นคลายตัว ช่วยลดริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้เรียวได้

  • ส่วนที่ 2 ที่ไม่ถูกดูดซึมจะหายไปตามกระแสเลือดภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ชม.หลังฉีด และถูกขับออกไปในที่สุด

วิธีปฏิบัติตัวก่อนฉีดโบท็อก (Botox) เพื่อให้ส่วนที่ 2 หายไปและให้ส่วนที่ 1 อยู่ได้นานกว่าปกติ

1 เทคนิคการฉีด

 เทคนิคการฉีดโบท็อก (Botox) ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ผู้ทำหัตถการ โดยแพทย์จะต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ หลายอย่างร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งที่ต้องการฉีด ปริมาณโบท็อกที่ต้องการใช้ ความหนาของกล้ามเนื้อ ความลึกของริ้วรอย ถ้าฉีดไม่ตรงจุด ก็จะได้ผลเหมือนกัน แต่เห็นผลช้าและอยู่ได้สั้นลง เพราะต้องรอโบท็อกแพร่กระจายจากจุดที่ฉีดมายังปลายเซลล์ประสาท

โดยส่วนที่ 2 ที่กระจายไปอาจจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้ทำให้ดื้อโบท็อก(Botox) ตามมาในภายหลัง (อาจขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล)

2 ไม่ควรใช้จำนวนยูนิตในแต่ละครั้งเกิน 300 ยูนิต

เพราะจะเพิ่มโอกาสที่ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานได้ง่ายขึ้น และ ควรหลีกเลี่ยงเทคนิคการฉีดที่ไม่ได้ฉีดโบท็อก (Botox) เข้าในกล้ามเนื้อโดยตรงเพราะเสี่ยงต่อการดื้อโบท็อก (Botox) การฉีดโบท็อก (Botox) ในปริมาณที่มาก จะทำให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้ง่าย ส่งผลให้ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อก (Botox) ลดลง และไม่ได้ผลในระยะยาว ซึ่งหมอผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ประเมินและแจ้งคนไข้ค่ะว่าควรใช้กี่ยูนิต จึงจะเหมาะสม

3.เลือกใช้โบท็อก (Botox) แท้เท่านั้น

โบท็อก (Botox) แท้จะมีการกระจายตัวยาต่ำ นั่นคือฉีดจุดไหนจะอยู่จุดนั้น ทำให้การหายไปเกิดขึ้นน้อยลง ดังนั้นก่อนฉีดทุกครั้งต้องตรวจสอบว่าเป็นโบท็อกของแท้ เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีข้อควรรู้เพิ่มเติมที่หมออยากแนะนำ ดังนี้ค่ะ

  1. อาหารบางประเภท : ในงานวิจัยพบว่าการทานแร่ธาตุ zinc 50 mg ก่อนและหลังการฉีดโบท็อก (Botox)  ช่วยให้โบท็อกออกฤทธิ์ไวขึ้น ออกฤทธิ์ดีขึ้น และช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้น เนื่องจาก การทำงานของโบท็อกที่อยู่ในเซลล์ประสาท จะต้องอาศัยแร่ธาตุ zinc (สังกะสี) เป็นปัจจัยสำคัญ 

  2. ขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเบาๆ ประมาณ 1-2 ครั้งทันทีหลังฉีด :หลังจากฉีดเสร็จทั้งหมดแล้ว ควรบริหารกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 15 นาที ตัวอย่างเช่น หากคุณฉีดโบท็อก (Botox) ที่กราม ควรเคี้ยวหมากฝรั่งใน 15 นาทีแรก เป็นหนึ่งในวิธีบริหารกล้ามเนื้อบนใบหน้า ซึ่งจะช่วยให้โบท็อกซ์ดูดซึมและกระจายได้ดีในบริเวณที่ฉีดและออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น 

  3. ฉีดโบท็อกต่อเนื่อง :ควรฉีดโบท็อก (Botox) ต่อเนื่องในระยะที่เหมาะสมไม่ฉีดถี่เกินไป จะช่วยยืดอายุของโบท็อก (Botox) ให้อยู่ได้นานขึ้น (อย่างต่ำควรเว้น 3เดือน) และไม่เว้นระยะห่างเกินไป (ไม่ควรเว้นเกิน 5-6 เดือน) เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้ปกติ และอาจจะต้องใช้ยูนิตของโบท็อกเยอะขึ้น

คุณกำลังมีปัญหาริ้วรอย กรามใหญ่ หน้าไม่กระชับ อยู่หรือไม่ ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ที่ ลินนาคลินิก (LINNA Clinic) มีแพทย์ประสบการณ์และเชี่ยวชาญด้านโบท็อก (Botox)  โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมด้านโบท็อกโดยเฉพาะ สามารถแนะนำและให้คำปรึกษาสำหรับปัญหาบนใบหน้าได้ เรามีโบท็อกแท้ที่ได้รับการรับรองจากอย. รับประกันผลลัพธ์และความปลอดภัยค่ะ โดยสามารถนัดหมายล่วงหน้าได้ที่เบอร์ 063-609-8888 หรือทางไลน์ @linnaclinic

Related Articles

เทรนด์การฉีดโบท็อก แบบไหนที่นิยมในหมู่ Celeb

ดารา Hollywood เริ่มฉีด เบบี้โบท็อก (Baby Botox) จนเป็นเทรนด์ฮอตฮิตอยู่ตอนนี้ ดาราสาวหลายคนกล่าวว่า รู้สึกว่าการฉีดเทคนิคเบบี้โบท็อก (Baby Botox) เป็นวิธีที่ทำให้มีความอ่อนเยาว์หน้าดูเด็กที่สุดทำให้ดูสวยอย่างเป็นธรรมชาติ Table of Contents เบบี้โบท็อก (Baby Botox) คืออะไร เบบี้โบท็อก (Baby Botox) คือ เทคนิคการฉีดโบท็อก (Botox) แบบใหม่ล่าสุดที่ฮิตมากในหมู่เซเลปคนดังฮอลลีวูดถือเป็นเทคนิคการฉีดโบท็อก (Botox) เพื่อเน้นลดริ้วรอย เช่น รอยย่นบนบริเวณหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว และรอยตีนกา แต่ใบหน้ายังเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ การฉีดโบท็อก (Botox) ในบริเวณรอยลึก สำหรับการฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอยจะเห็นผลชัดเจนในการแก้ปัญหาริ้วรอยตื้นๆ หรือริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น การขมวดคิ้ว การเลิกคิ้ว ริ้วรอยตีนกา การยิ้ม ริ้วรอยร่องแก้ม เป็นต้น แต่ถ้าหากเป็นปัญหาริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากปัญหากระดูกทรุดตัว อาจจะต้องแก้ไขโดยการฉีดฟิลเลอร์หนุนในชั้นผิว เพราะสารเติมเต็มในฟิลเลอร์สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกได้มากกว่าการฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอยค่ะ 3 เทคนิคฉีดโบท็อก (Botox)

อยากฉีดโบท็อก (Botox) แต่กลัวเข็ม กลัวเจ็บ ทำอย่างไรดี

ก่อนทำหัตถการทุกครั้ง หมอจะทำการแปะยาชาหรือใช้น้ำแข็งช่วยประคบเย็นก่อนทำการฉีดทุกครั้ง รวมถึงเข็มที่ลินนาคลินิกเลือกใช้จะมีขนาดที่เล็กเป็นพิเศษ จึงทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเท่ากับเข็มที่มีขนาดทั่วไปค่ะ หากใครที่มีความกลัวเข็มมากเป็นพิเศษก็สามารถขอทำการแปะยาชาก่อนได้เช่นกันโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม  และเราเองมีการใช้ตัว Face Vibration เพื่อช่วยในการเบนความสนใจได้ด้วยเช่นกัน และยังมีตัวช่วยอื่นๆที่หมอสรุปไว้ให้ด้านล่างนี้ด้วยเช่นกันค่ะ นอกจากนั้นทางหากท่านใดมีความกังวลหรือไม่สบายใจตรงจุดไหนสามารถเข้ามาพูดคุยสอบถามรายละเอียดขั้นตอนการรักษากับหมอได้ที่ลินนาคลินิก (LINNA Clinic) ก่อนได้เลยนะคะ Table of Contents คนกลัวเข็มจัดการกับการกลัวอย่างไรดี การแก้ไขอาการกลัวเหล่านี้สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยเริ่มที่ตัวเราเองได้เลยค่ะ มีวิธีการดังนี้ ปรับทัศนคติของตัวเองใหม่ การจัดลำดับความคิดของตัวเองให้ได้เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกเลยค่ะ ก่อนอื่นให้ปรับทัศนคติที่มีต่อสิ่งที่ตัวเองกลัว ยกตัวอย่าง เช่น การกลัวเข็ม โดยให้คิดว่าการเผชิญหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปสามารถทำได้โดยค่อย ๆ เอาตัวเองไปอยู่กับสิ่งๆนั้นให้มากขึ้นไม่ต้องทำในทันทีทันใดนะคะ ให้ค่อย ๆ ทำ เช่น ไปอยู่กับเพื่อนที่ทำมาแล้วสวยเราก็จะเริ่มซึมซับและปรับทัศนคติให้กลัวน้อยลงและมีความกล้ามากขึ้นที่จะทำค่ะ ตั้งสมาธิและผ่อนคลาย คนที่ไม่กล้า ผ่า ฉีดยา การตั้งสมาธิช่วยทำให้เราใจเย็นลงได้ แต่มันทำได้มากกว่านั้นค่ะ โดยการตั้งสมาธิกำหนดลมหายใจ เข้า-ออกจะช่วยให้จิตใจของเรานิ่งมากขึ้นค่ะ โดยคนเป็นโรคนี้ถ้าหากฝึกไปเรื่อย ๆ ยิ่งฝึกมากเท่าไหร่ก็จะสามารถ ควบคุมสติและควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้มากขึ้นค่ะ การเบี่ยงเบนความสนใจ หากกลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้ให้พยายามคิดถึงสิ่งอื่นแทนค่ะโดยก่อนทำอาจจะแจ้งหมอของเราว่าให้ช่วยพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ในขณะที่ฉีดยาชา สมองจะได้คิดไปเรื่องอื่นไม่มาโฟกัสเรื่องนี้หรือขณะที่ทำให้ตัวเองหันหน้าไปมองทางอื่นเพื่อจะได้ไม่มองเห็นซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลมากเลยค่ะ ใช้ตัวยา Penthrox ช่วย

มีโรคประจำตัวอยู่ ฉีดโบท็อก (Botox) ได้ไหม

ก่อนอื่นหมอแนะนำผู้ที่จะเข้ามาทำการฉีดโบท็อก (Botox)  มาเช็คความพร้อมของสุขภาพกันเสียก่อน โดยจะต้องไม่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ และให้นมบุตรส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น คนที่มีโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ กล้ามเนื้ออ่อนแรง คนที่มีปัญหากล้ามเนื้อในการกลืน ควรหลีกเลี่ยง เพื่อความปลอดภัย และก่อนฉีดโบท็อก ไม่ควรปกปิดโรคประจำตัวกับแพทย์ผู้ให้การรักษาค่ะ Table of Contents ข้อควรพิจารณาก่อนการฉีดโบท็อก (Botox) สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เพื่อความปลอดภัย  ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อก (Botox)  แพทย์จะทำการประเมินความเสี่ยงและความเหมาะสมของคุณโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของโรคประจำตัว: บางโรคอาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด หรือระบบประสาท ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงจากการฉีดโบท็อก (Botox) ได้ ยาที่รับประทานอยู่: ซึ่งยาบางชนิดอาจมีปฏิกิริยาต่อกันกับโบท็อก (Botox) ประวัติการแพ้ยา: หากคุณเคยแพ้ยาใดๆ หรือมีประวัติการแพ้ทุกชนิดควรแจ้งแพทย์ให้ทราบทุกครั้งก่อนทำการฉีดโบท็อก (Botox) หมอแนะนำห้ามฉีดโบท็อก (Botox) เองโดยเด็ดขาดเนื่องจากโบท็อก (Botox) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงหากใช้ไม่ถูกต้อง การฉีดผิดจุด หรือฉีดในปริมาณที่มากจนเกินไปอาจส่งผลเสียร้ายแรงได้ เช่น ใบหน้าเบี้ยว ตาตก ปากตกเป็นต้น ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเสมอเพื่อความปลอดภัยค่ะ โรคประจำตัวใดห้ามฉีดโบท็อก (Botox) ผู้ป่วยโรคระบบกล้ามเนื้อ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส

Scroll to Top