Radiesse vs Sculptra อันไหนดีกว่ากัน? ควรเลือกฉีดตัวไหน? เป็นคำถามที่ถูกถามเข้ามาเป็นประจำสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวให้อ่อนเยาว์กระชับ เรียบเนียนอยู่เสมอเพราะการดูแลผิวด้วย Radiesse และ Sculptra ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) มีคุณสมบัติช่วยดูแลผิวได้อย่างล้ำลึกและคงผลลัพธ์ยาวนานมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์จึงทำให้ทั้ง 2 หัตถการนี้ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้ด้วยคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนและระยะเวลาในการคงผลลัพธ์ที่ดูคล้ายคลึงกันของ Radiesse vs Sculptra จึงอาจทำให้หลายคนเกิดความสงสัยได้ว่า Radiesse กับ Sculptra ต่างกันอย่างไร ควรเลือกทำแบบไหนดีกว่ากัน บทความนี้จากลินนา คลินิก (LINNA Clinic) จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Radiesse และ Sculptra กันให้มากยิ่งขึ้นเพื่อสร้างผลลัพธ์การดูแลผิวที่ตรงใจได้มากที่สุด
Table of Contents
Radiesse คืออะไร
Radiesse (เรเดียสซ์) คือ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) ที่ใช้ส่วนประกอบสำคัญเป็นสาร Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ที่พบอยู่ในร่างกายของมนุษย์แค่เพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่ผลิตและพัฒนาโดย Merz Aesthetics ประเทศเยอรมนี ซึ่งความโดดเด่นของ Radiesse นั้นมีอยู่ด้วยกันหลากหลายประการ ทั้งคุณสมบัติในการเพิ่มปริมาตรและเติมวอลลุ่มผิวได้อย่างทันทีจากเนื้อเจลเป็นสาร CaHA กระจายตัวอยู่ หลังจากนั้นอนุภาคของสาร CaHA ที่เป็นส่วนประกอบหลักใน Radiesses จะสร้างโครงสร้าง Scaffold ที่เป็นโครงข่ายสามมิติใต้ชั้นผิวซึ่งส่งผลฟื้นฟูการทำงานของไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) และช่วยฟื้นบำรุงผิวได้ครอบคลุมถึง 5 ประการสำคัญ ได้แก่ เพิ่ม Collagen type 1 +150%, เพิ่ม Collagen type 3 +130%, เพิ่ม Elastin +260%, เพิ่มสารน้ำหล่อเลี้ยงผิวและสารอาหารหล่อเลี้ยงผิว หลังฉีดสามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 1.5 ปี
Sculptra คืออะไร
Sculptra (สกัลป์ทรา) คือ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) ที่ใช้สำหรับฉีดเข้าสู่ผิวชั้นลึกเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินตามกระบวนการธรรมชาติ ที่ผลิตและพัฒนาโดยบริษัท Galderma Laboratories, L.P. ประเทศอิตาลี โดยส่วนประกอบสำคัญใน Sculptra คือ อนุภาคของสาร Poly-L-Lactic acid (PLLA) ซึ่งเป็นสารสกัดจากพืชที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของไฟโบรบลาสต์และช่วยเพิ่ม Collagen Type I ได้มากถึง 66.5% ปรับเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของโครงสร้างชั้นผิวหนังได้นานถึง 2 ปี
Radiesse vs Sculptra แตกต่างกันอย่างไร
จากรายละเอียดข้างต้นจะเห็นได้ว่า Radiesse และ Sculptra ทั้ง 2 ชนิดเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) ที่ใช้สำหรับฉีดลงใต้ชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์และเพิ่มการผลิตคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินใต้ชั้นผิวตามกระบวนการธรรมชาติได้เหมือนกัน แต่ทั้งนี้มีจุดสำคัญที่ Radiesse และ Sculptra แตกต่างกัน ดังนี้
- ประสิทธิภาพในการดูแลผิว
Radiesse โดดเด่นด้วยการฟื้นบำรุงผิวถึง 5 ประการ ได้แก่ การเพิ่ม Collagen type 1 +150%, เพิ่ม Collagen type 3 +130%, เพิ่ม Elastin +260%, เพิ่มสารน้ำหล่อเลี้ยงผิวและสารอาหารหล่อเลี้ยงผิว การฉีด Radiesse จึงช่วยปรับเพิ่มวอลลุ่มให้กับชั้นผิวได้ทันทีและสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ในระยะยาว ส่วน Sculptra สามารถกระตุ้นการสร้าง Collagen Type I ให้เพิ่มมากขึ้นถึง 66.5% ช่วยเพิ่มคอลลาเจนปรับผิวเฟิร์มยกกระชับ ผิวแน่นฟูได้นานถึง 1.5 ปี
- ผลลัพธ์หลังการรักษา หลังการฉีด Radiesse สามารถเห็นผลลัพธ์เรื่องการเติมเต็มผิว ปรับเพิ่มวอลลุ่มให้ผิวได้ในทันที หากเป็นกรณีที่ใช้ตัวยา Radiesse ผสมกับน้ำเกลือก่อนฉีดเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในบริเวณกว้างจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ภายใน 1 เดือน และไม่ต้องนวดหลังฉีด สำหรับการฉีด Sculptra จะเริ่มเห็นผลลัพธ์เรื่องผิวแน่นอิ่มฟู ผิวยกกระชับมากขึ้นภายในช่วง 3-4 สัปดาห์ ทั้งนี้หลังการฉีด Sculptra จำเป็นต้องมีการนวดติดต่อกัน 5 วัน วันละ 5 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที
- ระยะเวลาในการคงผลลัพธ์ การฉีด Radiesse สามารถคงผลลัพธ์ได้นานประมาณ 1.5 ปี ส่วนการฉีด Sculptra สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 2 ปี หรืออาจมากกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตนเองหลังเข้ารับหัตถการของผู้เข้ารับบริการแต่ละราย
จะเห็นได้ว่าทั้ง Radiesse และ Sculptra ต่างมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินของผิวตามกระบวนการธรรมชาติได้เหมือนกันแต่มีจุดที่แตกต่างกันตรงที่ Radiesse จะช่วยเติมเต็มและเพิ่มวอลลุ่มให้กับผิวได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับการใช้ฉีดเติมเต็มร่องลึกต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถคงผลลัพธ์หลังการรักษาได้นาน 1.5 ปี ในขณะที่ Sculptra ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้ในทันทีแต่จะปรับเสริมโครงสร้างชั้นผิวไปอย่างช้าๆ เริ่มเห็นผลลัพธ์ภายในช่วง 3-4 สัปดาห์แรกหลังฉีด โดย Sculptra จะช่วยในเรื่องการยกกระชับ ปรับผิวให้เฟิร์มแน่นมากขึ้นแต่ไม่เหมาะกับการใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มร่องลึกมากๆ สามารถคงผลลัพธ์การรักษาได้นานมากถึง 2 ปี (หรืออาจนานกว่านั้น) ทั้งนี้แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านการดูแลผิวเพื่อเลือกใช้สารกระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด
นอกไปจาก Radiesse และ Sculptra แล้วนั้นยังมีสารอื่นๆ ที่น่าสนใจอย่างเช่น Juvelook คอลลาเจนบูสเตอร์ชนิดไฮบริด (Hybrid) สัญชาติเกาหลีที่มีส่วนผสมของสารสำคัญถึง 2 ชนิด กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid: HA) และกรดพอลิแลกติก (PDLLA) ที่ช่วยเพิ่มวอลลุ่มและปริมาตรผิวได้ทันทีหลังฉีดพร้อมช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินใหม่ๆได้สูงมากๆ ตามกระบวนการธรรมชาติที่ใต้ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้ากับผิวของเราได้ดีมาก ไม่เสี่ยงเป็นก้อน และไม่ต้องนวด ซึ่งตอนนี้เป็นที่นิยมสูงที่สุดในเกาหลีสำหรับ Collagen Biostimulator
Juvelook ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
- ช่วยทำให้ผิวอิ่มฟู ทำให้ริ้วรอยแลดูจางลง
- ช่วยให้ผิวเฟิร์มกระชับ ลดรอยหลุมสิว รูขุมขนดูเล็กลง
- ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นให้ดูจางลง
- ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น
- ช่วยลดรอยสิว รอยดำและจุดด่างดำ
- ช่วยลดปัญหารอยแตกลายที่บริเวณลำตัว
ส่วนในเรื่องความปลอดภัยก็ไม่ต้องกังวลใจไปแต่อย่างใดเพราะ Juvelook เป็น Collagen Booster ที่มีส่วนผสมของกรดพอลิแลกติก (PDLLA) นวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ผ่านการรับรองจาก FDA และ CE เหมาะสำหรับผิวของคนมากขึ้นกว่าเดิม สามารถฉีดเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างปลอดภัยโดยแพทย์ชำนาญการ ไม่มีความเสี่ยงในการจับตัวเป็นก้อน และที่ลินนาคลินิกมีที่เขย่าตัวยาของ Juvelook โดยตรง มีรอบ3300 rpm ละลายดีเเน่นอน ไม่เกิดผลข้างเคียงจากการผสมยาไม่ดี Juvelook สามารถให้ผลลัพธ์ยาวนาน 1.5 ปีและสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ไม่ตกค้างสะสมในร่างกาย
สนใจฉีดคอลลาเจนบูสเตอร์ สามารถติดต่อเข้ามาที่ ลินนา คลินิก (LINNA Clinic) เพื่อปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ประเมินสภาพผิวหรือจองคิวเข้ารับการรักษาได้เลยค่ะ