เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุในการส่งพลังงานความร้อนไปยังชั้นผิวหนังชั้นลึก โดยคลื่นความถี่วิทยุจะทำให้เกิดความร้อนในชั้นผิวหนังชั้นลึก ส่งผลให้เกิดการหดตัวของคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง เรียบเนียน ลดริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และรอยแผลเป็น นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและการผลิตคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดี

เทคโนโลยี RF มีหลายประเภท แต่ละประเภทจะมีความถี่และความยาวคลื่นที่แตกต่างกันไป ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพและผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน ประเภทของเทคโนโลยี RF ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่

  • RF monopolar เป็นเทคโนโลยี RF ที่ใช้ขั้วเดียวในการส่งพลังงานความร้อน เหมาะกับการยกกระชับผิวหน้าและลำคอ
  • RF bipolar เป็นเทคโนโลยี RF ที่ใช้ขั้วสองในการส่งพลังงานความร้อน เหมาะกับการยกกระชับผิวบริเวณเล็ก ๆ เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม และรอบดวงตา
  • RF tripolar เป็นเทคโนโลยี RF ที่ใช้ขั้วสามในการส่งพลังงานความร้อน เหมาะกับการยกกระชับผิวบริเวณกว้าง ๆ เช่น หน้าท้อง แขน ขา

ผลลัพธ์ของการรักษาด้วยเทคโนโลยี RF จะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่จะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นหลังจากทำครบ 3-5 ครั้ง โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ สภาพผิว การดูแลรักษาหลังการรักษา

Table of Contents

ข้อดีของเทคโนโลยี RF

  • เป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย
  • ใช้เวลาในการรักษาไม่นาน
  • เห็นผลได้ชัดเจน
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และรอยแผลเป็น

ข้อเสียของเทคโนโลยี RF

  • อาจมีอาการแดง บวม ไหม้ หรือแสบร้อนบริเวณที่รักษา
  • อาจเกิดรอยช้ำได้บ้าง
  • ผลลัพธ์จะอยู่ได้ไม่นาน

การใช้ RF ใน HIFU สำหรับการรักษา

แนวทางการใช้ RF ใน HIFU สำหรับการรักษา มีดังนี้

ข้อบ่งชี้

HIFU เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุ (RF) ในการส่งพลังงานความร้อนไปยังชั้นผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดความร้อนในชั้นผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้เซลล์ไขมันสลายตัว เส้นใยคอลลาเจนและอิลาสตินหดตัว ส่งผลให้ผิวกระชับ เต่งตึง ริ้วรอยลดลง รูขุมขนกระชับ และรอยแผลเป็นจางลง HIFU สามารถใช้รักษาปัญหาผิวได้หลากหลาย เช่น

  • ริ้วรอย
  • ผิวหย่อนคล้อย
  • ผิวหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ
  • ร่องแก้ม
  • ถุงใต้ตา
  • รอยตีนกา
  • รูขุมขนกว้าง
  • รอยแผลเป็น

การเตรียมตัวก่อนการรักษาด้วย RF

การเตรียมตัวก่อนการรักษาด้วย RF โดยทั่วไปจะรวมถึงสิ่งต่อไปนี้:

  • งดอาหารและน้ำ ล่วงหน้าประมาณ 4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้กระเพาะอาหารบีบตัวและทำให้แพทย์เจาะเข้าที่ก้อนเนื้องอกได้ยากขึ้น
  • สวมเสื้อผ้าที่หลวมสบาย เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
  • จัดเตรียมเอกสารทางการแพทย์ที่จำเป็น เช่น ประวัติการรักษา ผลการตรวจเลือด ผลตรวจเอกซเรย์ เป็นต้น
  • แจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ทั้งหมด รวมถึงประวัติแพ้ยา โรคประจำตัว และยาที่กำลังรับประทานอยู่

สำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรับการดมยาสลบ แพทย์อาจแนะนำให้งดอาหารและน้ำล่วงหน้านานขึ้น ประมาณ 6-8 ชั่วโมง นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับการทำงานของตับ ไต และค่าการแข็งตัวของเลือด

วิธีการรักษา

HIFU จะใช้เครื่อง HIFU ที่มีหัวปล่อยพลังงาน RF โดยหัวปล่อยพลังงาน RF จะถูกวางบนผิวหนังหรือลำตัวในตำแหน่งที่ต้องการรักษา จากนั้นเครื่อง HIFU จะปล่อยคลื่นความถี่วิทยุลงไปใต้ผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดความร้อนในชั้นผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง

ระยะเวลาในการรักษาด้วย HIFU ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการรักษา โดยทั่วไปจะใช้เวลาแปะยาชาทิ้งไว้ 30 นาที และใช้เวลาทำอีกประมาณ 30-60 นาที หากทำไฮฟู่ที่ ลินนาคลินิก (LINNA CLINIC) ทั่วทั้งใบหน้าระยะเวลาอยู่ที่ 15- 20 นาทีโดยที่ไม่ต้องแปะยาชา

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการรักษาด้วย HIFU มักไม่รุนแรงและหายไปได้เองภายใน 1-2 วัน เช่น อาการแดง บวม ผิวไหม้เล็กน้อย

ข้อควรระวัง

  • ห้ามทำ HIFU หากมีประวัติแพ้ยาชา
  • ห้ามทำ HIFU หากมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
  • ห้ามทำ HIFU หากมีรอยสักบริเวณที่ต้องการรักษา

การดูแลหลังการรักษา

หลังการรักษาด้วย HIFU ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีและอีสูง

ระยะเวลาในการเห็นผล

จะเห็นผลการรักษาชัดเจนภายใน 1-3 เดือน และผลการรักษาจะคงอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน ทั้งนี้ ผลการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

ประโยชน์ของการทำ RF และ HIFU มีดังนี้

  • ยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยี RF จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวชั้นกลาง (dermis) ในขณะที่เทคโนโลยี HIFU จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวชั้นลึก (subcutaneous tissue) ส่งผลให้ผิวยกกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและยาวนาน
  • ลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยี RF และ HIFU ต่างก็ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ซึ่งจะช่วยลดเลือนริ้วรอยและช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ลง
  • กระชับรูขุมขน เทคโนโลยี RF และ HIFU ต่างก็ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ซึ่งจะส่งผลให้รูขุมขนเล็กลง
  • ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย เทคโนโลยี RF และ HIFU ต่างก็ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ซึ่งจะส่งผลให้ผิวกระชับขึ้นและลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย

นอกจากนี้ การผสมผสานเทคโนโลยี RF และ HIFU ยังสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวอื่นๆ ได้ เช่น ผิวหมองคล้ำ ผิวไม่สม่ำเสมอ ฝ้ากระ และจุดด่างดำ เป็นต้น

ข้อควรระวังในการใช้ RF และ HIFU ได้แก่

  • ไม่ควรทำ RF และ HIFU หากมีประวัติแพ้คลื่นวิทยุหรือคลื่นเสียง
  • ไม่ควรทำ RF และ HIFU หากมีรอยแผลเปิดหรือผิวหนังอักเสบ
  • ไม่ควรทำ RF และ HIFU หากกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ไม่ควรทำ RF และ HIFU หากมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เป็นต้นแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนการทำทุกกรณีหากมีโรคประจำตัวอื่นๆ

โดยสรุป RF และ HIFU เป็นเทคโนโลยีความงามที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย แต่ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เท่านั้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

Scroll to Top