เบาหวานคืออะไร อาการเป็นอย่างไร? เบาหวานหายได้ไหม? วิธีป้องกันเบาหวานมีอะไรบ้าง? หายจากเบาหวานได้อย่างไร?

“เบาหวาน” หนึ่งในโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คนทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยซึ่งในปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเบาหวานสะสมมากกว่า 3.3 ล้านคน และพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกช่วงอายุ ผู้ป่วยเบาหวานในระยะเริ่มต้นอาจไม่มีอาการที่สังเกตได้ชัดเจนในทันที แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแลอย่างเหมาะสมอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอื่นๆ ตามา เช่น โรคหัวใจ โรคไตและปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น อย่างไรก็ตามมีวิธีดูแลและฟื้นฟูร่างกายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

Table of Contents

เบาหวาน คืออะไร มีกี่ระยะ?

เบาหวาน (Diabetes) คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตหรือใช้งานฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งฮอร์โมนอินซูลินมีหน้าที่ช่วยให้เซลล์ดูดซึมน้ำตาลที่อยู่ในเลือดเพื่อนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานและเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเกิดโรคเบาหวานโดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะตามความรุนแรงของอาการ ดังนี้

  • ระยะก่อนเบาหวาน เป็นระยะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติแต่ยังไม่ถึงเกณฑ์วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน ในระยะนี้จะไม่มีอาการผิดปกติที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนแต่อาจมีสัญญาณเตือนบางอย่างจากร่างกายเกี่ยวกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เช่น หิวบ่อย กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย ฯลฯ
  • ระยะเบาหวาน เป็นระยะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ซึ่งวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ชนิดหลักๆ ได้แก่
  • เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลิน ร่างกายจึงไม่สามารถดึงน้ำตาลไปใช้งานได้และต้องฉีดอินซูลินอย่างสม่ำเสมอ ส่วนใหญ่มักพบในคนที่มีรูปร่างผอม
  • เบาหวานชนิดที่ 2 พบได้มากถึงร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เกิดจากร่างกายผลิตฮอร์โมนอินซูลินน้อยลงร่วมกับภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) สามารถดูแลอาการให้ดีขึ้นได้ด้วยการใช้ยารักษาเบาหวานและปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม และจำเป็นต้องฉีดอินซูลินในกลุ่มที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี
  • เบาหวานขณะตั้งครรภ์ เกิดขึ้นในหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีเบาหวานมาก่อน และมักตรวจพบในระหว่างการตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสที่ 2-3 เนื่องจากมีภาวะดื้ออินซูลินเนื่องจากฮอร์โมนที่หลั่งมาจากรก ส่วนใหญ่สามารถหายได้เองหลังการคลอดบุตร
  • เบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ เช่น ระดับฮอร์โมนผิดปกติ เบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม โรคตับอ่อน รวมถึงการใช้ยาหรือสารเคมีบางชนิด
  • ระยะเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อน หากผู้ป่วยเบาหวานขาดการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม จนทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่ออวัยวะสำคัญในร่างกาย เช่น เบาหวานขึ้นตา โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ โรคไตจากเบาหวาน และอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิต

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลินซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยมีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคได้ดังนี้

  • พันธุกรรมและประวัติคนในครอบครัว เบาหวานเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม หากพ่อและแม่ทั้งสองฝ่ายเป็นเบาหวาน ลูกจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานสูงถึง 60%
  • อายุที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี เนื่องจากร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินน้อยลง
  • ภาวะอ้วนลงพุง รวมถึงผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปและมีภาวะน้ำหนักตัวเกินร่วมด้วย
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีแคลอรีสูง การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ การขาดการออกกำลังกาย ความเครียดสะสมรวมถึงการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • การใช้ยาหรือสารเคมีบางชนิด เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ หรือยาต้านไวรัสบางชนิดที่อาจส่งผลกระทบต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

เบาหวาน หายได้ไหม? ทำอย่างไรให้หายจากการเป็นเบาหวาน

ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาใดๆ ที่สามารถรักษาเบาหวานให้หายขาด แต่ผู้ป่วยสามารถใช้วิธีต่างๆ เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรค โดยเฉพาะโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเกิดจากร่างกายผลิตฮอร์โมนอินซูลินน้อยลงร่วมกับภาวะดื้ออินซูลิน ที่สามารถรักษาอาการให้ดีขึ้นได้จนเข้าสู่ระยะสงบ (Diabetes Remission) ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพอย่างเหมาะสม

วิธีดูแลตัวเองของผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อควบคุมอาการให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ถึงแม้ว่าโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่อาจส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ แต่อย่างไรก็ตามผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองและควบคุมอาการของโรคให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเพื่อช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว และทำให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ดังนี้

  • ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้เหมาะสม รับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low Glycemic Index) เช่น ธัญพืชเต็มเมล็ด ผักใบเขียว และผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย เน้นโปรตีนคุณภาพสูงที่ไม่ติดมัน หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีแคลอรีสูงแต่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ และควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ
  • หมั่นติดตามระดับน้ำตาลในเลือด ในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานควรตรวจวัดระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) อย่างน้อย 2-4 ครั้ง/ปี เพื่อประเมินประสิทธิภาพในการควบคุมโรคและปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม
  • ใช้ยาตามแพทย์สั่ง ไม่ปรับลดหรือหยุดยาเอง รวมถึงควรเข้าพบแพทย์ตามกำหนดนัดทุกครั้ง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและกระตุ้นให้ร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินได้ดีขึ้น
  • นอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน และจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กระตุ้นอาการเบาหวาน งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาหรืออาหารเสริมบางชนิด

โปรแกรมฟื้นฟูโรคเบาหวาน ที่ LINNA Wellness

LINNA Wellness ขอแนะนำโปรแกรม Ozone Therapy (EBOO PLUS Technique) นวัตกรรมการฟื้นฟูสุขภาพสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ทางเลือกใหม่ของการฟื้นฟูและลดภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการพึ่งพายา ด้วยการเติมโอโซนบริสุทธิ์เข้าสู่เส้นเลือดเพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด ฟื้นฟูหลอดเลือดที่อักเสบ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายกลับมาทำงานอย่างสมดุล ด้วยเครื่องมือมาตรฐานระดับสากลพร้อมระบบควบคุมโอโซนที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายบุคคล ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของอาจารย์แพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการทำ Ozone Therapy (EBOO PLUS Technique) มากกว่า 12 ปี และผ่านเคสการดูแลผู้ป่วยมาแล้วกว่า 20,000 ราย สนใจฟื้นฟูร่างกายจากภาวะเบาหวานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ สามารถติดต่อ LINNA Clinic เพื่อรับการประเมินและวางแผนการฟื้นฟูสุขภาพได้ที่ไลน์ @linnaclinic หรือโทร 063-609-8888

บทความที่เกี่ยวข้อง

LINNA Clinic คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 การันตีความเป็นผู้นำด้าน HIFU 4 ปีซ้อน!!

เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ LINNA Clinic ที่ปีนี้คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งถือเป็นโปรเจกต์เรือธงของนิตยสารแพรว ซึ่งจัดต่อเนื่องมาถึงปีที่ 11 และเป็นมาตรฐานสำคัญในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และบริการความงามที่ดีที่สุดของไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Icon of Perfection” สะท้อนแนวคิดว่า ความสมบูรณ์แบบไม่ได้มีสูตรสำเร็จ แต่คือความพอใจในแบบของตนเอง โดยในปีนี้ LINNA Clinic ได้รับถึง 2 รางวัลทรงเกียรติ ได้แก่ Hall of Fame รางวัลนี้ถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดในงาน PRAEW ICONIC BEAUTY ที่ไม่ได้มอบให้กับทุกแบรนด์ แต่คัดเลือกเฉพาะผู้ที่สามารถรักษามาตรฐานคุณภาพและความน่าเชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน สะท้อนถึงความมั่นคงและความเป็นผู้นำที่แท้จริงในวงการความงาม ปีนี้ LINNA Clinic ได้รับการประกาศเกียรติยศเข้าสู่ Hall of Fame อย่างสง่างาม พร้อมทั้ง คุณว่าน – กุศลิน ลัญจกรกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ LINNA

วัคซีนโควิด (COVID-19 Vaccine) คืออะไร? มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 “วัคซีน” ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลก ลดความรุนแรงของโรค และช่วยให้ระบบสาธารณสุขกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง (World Health Organization, 2023; European Medicines Agency, 2022) แต่ในขณะเดียวกัน การฉีดวัคซีนก็ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มีความเสี่ยง” เพราะเช่นเดียวกับการรักษาทางการแพทย์ทุกประเภท วัคซีนก็อาจมีผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ในบางคนได้เช่นกัน (Centers for Disease Control and Prevention, 2022). แม้วัคซีนโควิดจะมีประโยชน์อย่างมากในการลดความรุนแรงของโรคโควิดและช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย แต่ในอีกด้านหนึ่ง วัคซีนก็มี “ข้อจำกัดและผลข้างเคียง” ที่ควรรู้ไว้เช่นกัน เช่น อาการไข้ ปวดเมื่อย หรือในบางรายอาจมีอาการแพ้หรืออักเสบที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษ (Patone et al., 2022). การเข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสียของวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล พร้อมดูแลร่างกายได้ถูกวิธี ทั้งก่อนและหลังการฉีดวัคซีน บทความนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่หลักการทำงาน ประเภทของวัคซีน ผลข้างเคียง ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น ไปจนถึงแนวทางดูแลและฟื้นฟูร่างกายหลังฉีดอย่างปลอดภัย เพื่อให้คุณเข้าใจว่า วัคซีนคือเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรค แต่ก็ยังต้องอาศัยการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Table of Contents

โปรตีนหนาม (Spike Protein) คืออะไร? อาการและผลข้างเคียงที่ควรรู้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในยุคโควิด-19 เพราะโปรตีนชนิดนี้เป็นทั้ง กลไกสำคัญที่ไวรัสใช้เข้าสู่เซลล์ของมนุษย์ และเป็น ส่วนประกอบหลักของวัคซีนรุ่นใหม่ ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) ถือเป็น “เครื่องมือสำคัญ” ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถจดจำเชื้อไวรัสและสร้างภูมิคุ้มกันได้รวดเร็วเมื่อติดเชื้อจริง แต่อีกด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) หากคงอยู่ในร่างกายนานเกินไป หรือ กระตุ้นภูมิคุ้มกันมากเกินจำเป็น ก็อาจเป็นสาเหตุของ ภาวะอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น เหนื่อยง่าย สมองล้า นอนไม่หลับ ปวดเมื่อย หรือภาวะคล้าย Long COVID นอกจากนี้ยังมีรายงานทางการแพทย์ที่ชี้ให้เห็นว่า Spike Protein อาจเกี่ยวข้องกับภาวะ หลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis), กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis), สมองล้า (Brain Fog) และ ภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน (Autoimmune-like Response)

Shopping Cart
Scroll to Top