เปรียบเทียบ Ozone Therapy และ Eboo Therapy ต่างกันอย่างไร

ในยุคที่การดูแลสุขภาพกลายเป็นสิ่งสำคัญ นวัตกรรมการบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกายจากภายในอย่าง Ozone Therapy จึงได้รับความสนใจในวงกว้าง ด้วยคุณสมบัติในการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงได้จากภายใน พร้อมตัวเลือกเทคนิคหลากหลาย เช่น Direct Intravenous Ozone, Major Autohemotherapy, Hyperbaric Ozone Therapy และ EBOO Therapy ที่ตอบโจทย์ทั้งคนไข้และผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพในเชิงป้องกัน บทความนี้จาก LINNA Clinic รวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโอโซนบำบัด เปรียบเทียบจุดเด่นของแต่ละเทคนิค พร้อมเผยเหตุผลที่ EBOO Therapy ได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง รวมถึงรีวิวผลเลือดจริงจากผู้ใช้บริการ Ozone Therapy EBOO Technique ที่ LINNA Clinic (ลินนา คลินิก)

Table of Contents

การให้โอโซนมีกี่รูปแบบ?

ปัจจุบันการบำบัดด้วยโอโซน (Ozone Therapy) ถูกพัฒนาออกมาหลากหลายรูปแบบ โดยสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มหลักได้ ดังนี้

  • Direct Intravenous Ozone (DIV) เป็นการฉีดก๊าซโอโซนระดับความเข้มข้น 30 µg/ml ผสมกับออกซิเจนเข้าสู่เส้นเลือดดำโดยตรง วิธีนี้มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูร่างกายอย่างรวดเร็ว แต่มีความเสี่ยงสูงจากการใช้โอโซนที่ความเข้มข้นสูง
  • Major Autohemotherapy (MAH) เป็นวิธีการบำบัดโอโซนโดยดึงเลือดออกจากร่างกายประมาณ 200 มิลลิลิตร เพื่อนำไปผสมกับโอโซนเข้มข้น 20-50 µg/ml ในถุงเลือดแล้วนำกลับเข้าสู่ร่างกาย
  • Hyperbaric Ozone Therapy (HBO3) เป็นการบำบัดที่ใช้โอโซนในปริมาณสูง โดยการดึงเลือดออกจากร่างกายทีละประมาณ 200 ml และผสมเข้ากับโอโซนที่ความเข้มข้น 20-70 µg/ml แล้วส่งกลับเข้าสู่ร่างกาย โดยกระบวนการเหล่านี้สามารถทำซ้ำได้สูงสุด 10 ครั้ง/Session หรือที่เรียกว่า “10 Pass Ozone Therapy” วิธีนี้ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดและระบบภูมิคุ้มกัน เหมาะสำหรับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและล้างสารพิษร่างกายในระยะสั้น อย่างไรก็ตามผู้ที่ทำการบำบัดโอโซนด้วยเทคนิค HBO3 จะต้องมีเส้นเลือดที่แข็งแรงพอสำหรับการทำซ้ำหลายครั้งในหนึ่งเซสชัน
  • EBOO Therapy (Extracorporeal Blood Oxygenation and Ozonation) เทคนิคการเติมโอโซนเข้าเส้นเลือดอย่างต่อเนื่องในระหว่าง 45-60 นาที โดยใช้ความเข้มข้นของโอโซนที่ต่ำมากอยู่ที่ประมาณ 0.1-20 µg/ml ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะโอโซนเป็นพิษ นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจจับลักษณะของเม็ดเลือดแดงแบบเรียลไทม์ทำให้แพทย์สามารถหยุดการบำบัดได้ทันทีหากพบความผิดปกติ และนอกจากนั้นยังสามารถกรองของเสียออกจากเลือดได้ด้วย Filter

เปรียบเทียบ Ozone Therapy แบบ Hyperbaric Ozone Therapy (High Dose Ozone Therapy/10 Pass Ozone Therapy) และ EBOO Therapy

1. Hyperbaric Ozone Therapy

  • หลักการทำงาน การบำบัดที่ใช้โอโซนในปริมาณสูง โดยการดึงเลือดออกจากร่างกายทีละประมาณ 200 ml และผสมเข้ากับโอโซนที่ความเข้มข้น 20-70 µg/ml แล้วส่งกลับเข้าสู่ร่างกาย โดยกระบวนการเหล่านี้สามารถทำซ้ำได้สูงสุด 10 ครั้ง/Session (10 Pass Ozone Therapy)
  • ปริมาณโอโซนที่ได้รับ ได้รับปริมาณโอโซนสูงสุดที่ 14,000 ไมโครกรัม เมื่อทำซ้ำ 10 ครั้ง/ session)
  • ข้อดี เป็นวิธีบำบัดที่ทำให้ร่างกายได้รับโอโซนในปริมาณสูง เหมาะสำหรับการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในระยะสั้นและผู้ที่ต้องการบำบัดอย่างเร่งด่วนในกรณีที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น การฟื้นตัวหลังการเจ็บป่วยที่รุนแรง รวมถึงช่วยขจัดสารพิษและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ข้อควรพิจารณา การฉีดโอโซนเข้มข้นสูงโดยตรงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น การระคายเคืองหลอดเลือด เส้นเลือดได้รับความเสียหาย ภาวะโอโซนเป็นพิษ และไม่สามารถรู้ได้เมื่อเม็ดเลือดแดงแตกระหว่างการบำบัด จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

2. EBOO Therapy (Extracorporeal Blood Oxygenation and Ozonation)

  • หลักการทำงาน แพทย์ดึงเลือดจากเส้นเลือดดำแล้วส่งเลือดผ่านไส้กรองปลอดเชื้อเพื่อกรองของเสียและสารพิษออกจากเลือด จากนั้นเริ่มเติมโอโซนบริสุทธิ์ที่ความเข้มข้นประมาณ 0.1-20 µg/ml เข้ากับเลือดด้วยเครื่องกำเนิดโอโซน (Ozone Generator) และนำเลือดกลับเข้าสู่ร่างกายช้าๆ ผ่านเส้นเลือดดำที่แขนอีกข้าง
  • ปริมาณโอโซนที่ได้รับ สามารถคำนวณได้จาก อัตราการไหลเวียนของเลือด (mL/min) x ปริมาณความเข้มข้นของ ozone ที่ใช้ x ระยะเวลาการบำบัด (60 นาที) โดยแบ่งความเข้มข้นของโอโซนในการบำบัดออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
ระดับความเข้มข้น ช่วงความเข้มข้นของ ozone (µg/mL) การคำนวณ ปริมาณโอโซนที่ได้รับ (µg)
1) Low Amount ozone 0.1-2 µg/ml 0.9 L/min x (0.1~2) µg/ml x 60 นาที 5,400~108,000 µg
2) Medium Amount ozone 2.1-5 µg/ml 0.9 L/min x (2.1~5) µg/ml x 60 นาที 113,400~270,000 µg
3) high Amount ozone 5.1-20 µg/ml 0.9 L/min x (5.1~20) µg/ml x 60 นาที 275,400~1,080,000 µg

ทั้งนี้ปริมาณความเข้มข้นของ ozone ที่ใช้ในแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล

  • ข้อดี เป็นการเติมโอโซนโดสต่ำๆ อย่างต่อเนื่องซึ่งมีผลการศึกษาวิจัยรองรับว่าการบำบัดโอโซนด้วยเทคนิค EBOO Therapy ทำให้ออกซิเจนสามารถจับกับเม็ดเลือดแดงได้อย่างแนบแน่น ส่งผลให้เซลล์ในร่างกายได้รับออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น และนอกจากนี้การเติมโอโซนโดสต่ำๆ ยังช่วยให้แพทย์สามารถควบคุมระดับความเข้มข้นของโอโซนที่ต้องใช้ได้เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละบุคคล ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะโอโซนเป็นพิษ เม็ดเลือดแดงเปราะหรือแตก ผู้ที่มีโรคเลือดบางอย่างสามารถทำได้ เช่น ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียหรือผู้ป่วย G6PD (ควรปรึกษาแพทย์มากประสบการณ์และประเมินสภาวะร่างกายโดยละเอียด) ตัวเครื่องมาพร้อมระบบกรองของเสียในเลือด และตัวตรวจจับลักษณะของเม็ดเลือดแดง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัดและมีความปลอดภัยมากขึ้น
  • ข้อควรพิจารณา ใช้เวลาในการบำบัดประมาณ 45-60 นาที แพทย์ผู้ทำจะต้องมีความชำนาญสูงและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเมื่อเทียบกับการบำบัดโอโซนรูปแบบอื่น

ทำไม EBOO Therapy ถึงดีกว่าและปลอดภัยกว่าเทคนิคอื่นๆ

  • EBOO Therapy เป็นการให้โอโซนปริมาณความเข้มข้นต่ำอย่างต่อเนื่อง ที่ปริมาณ 0.1-20 µg /ml ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะโอโซนเป็นพิษและการแตกของเม็ดเลือดแดง อีกทั้งยังมีผลศึกษาวิจัยรองรับว่าการบำบัดโอโซนด้วยเทคนิค EBOO Therapy ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันอย่างเหมาะสม เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเม็ดเลือดเปราะบาง เช่น โรคธาลัสซีเมียหรือ G6PD รวมถึงบุคคลทั่วไปที่ต้องการดูแลสุขภาพในระยะยาว
  • มีระบบกรองของเสียในเลือด สามารถกำจัดของเสียและสารพิษออกจากเลือดได้พร้อมกันในขณะที่เติมโอโซนให้ร่างกาย จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูร่างกายได้เป็นอย่างดี
  • มีระบบตรวจจับความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดแดงได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้แพทย์สามารถหยุดหรือปรับกระบวนการบำบัดได้ทันท่วงทีเมื่อพบความผิดปกติ
  • EBOO Therapy ที่ LINNA Clinic (ลินนา คลินิก) มาพร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ทั้งระบบตัวเครื่อง มอเตอร์ (motor) เครื่องกำเนิดโอโซน (Ozone Generator) และหลอดฟิลเตอร์ (Filter) ที่ผลิตจากประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยี เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย และประเทศญี่ปุ่น จึงสามารถควบคุมอัตราการเติมโอโซนเข้าสู่ร่างกายได้อย่างเสถียรและแม่นยำ ส่งผลให้กระบวนการบำบัดมีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น

นวัตกรรม EBOO Therapy ในแต่ละสถานบริการแตกต่างกันอย่างไร?

ถึงแม้หลักการของ EBOO Therapy จะมีโครงสร้างกระบวนการที่คล้ายคลึงกัน แต่ความแตกต่างในรายละเอียดปลีกย่อย เช่น เทคโนโลยีที่ใช้ ประสบการณ์ของผู้ให้บริการ และความใส่ใจในรายละเอียดเฉพาะบุคคล สามารถส่งผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการบำบัด ดังนี้

  • เทคนิคการปรับแรงดันของเลือด การควบคุมแรงดันเลือดให้สมดุลในระหว่างขั้นตอนการบำบัดโอโซนด้วยเทคนิค EBOO Therapy เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะแรงดันเลือดที่ไม่สม่ำเสมอส่งผลให้ประสิทธิภาพในการบำบัดลดลง ระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติและอาจส่งผลอันตรายต่อร่างกายผู้เข้ารับบำบัด สถานบริการที่มีคุณภาพจะต้องเลือกใช้เครื่อง EBOO Therapy ที่สามารถปรับค่าหน่วยแรงดันได้อย่างละเอียดและแม่นยำ ทั้งมอเตอร์ ตัวปั๊มและเครื่องให้กำเนิดโอโซนมีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อให้กระบวนการบำบัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
  • การเลือกเรทของ Gas และ Ozone ตามสภาวะสุขภาพของผู้บำบัด สภาพร่างกายและปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกัน เช่น ผู้ที่มีปัญหาโรคเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง หรือเม็ดเลือดแดงอ่อนแอ จำเป็นต้องใช้ความเข้มข้นของโอโซนและอัตราการไหลของ Gas ที่เหมาะสมกับร่างกายเพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัด
  • ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำการบำบัด หัวใจสำคัญของการทำ EBOO Therapy ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพหรือยี่ห้อของเครื่องมือที่เลือกใช้แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องอาศัยทั้งความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำการบำบัด ทั้งในขั้นตอนการประเมินภาวะสุขภาพอย่างละเอียดก่อนเริ่มบำบัด การกำหนดเรทของ Gas และความเข้มข้นของ Ozone ที่เหมาะสม การติดตามความสมดุลของเลือดทั้งขาออก-ขาเข้าในระหว่างการบำบัดอย่างใกล้ชิด ตลอดไปจนถึงการประเมินร่างกายของผู้เข้ารับบริการหลังเสร็จสิ้นกระบวนการ ทั้งหมดนี้เพื่อให้การบำบัดมีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัยต่อผู้รับบริการ
  • ความสะอาดและระบบปลอดเชื้อ ทุกขั้นตอนของการทำ EBOO Therapy จะต้องเป็นระบบปลอดเชื้อ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและติดเชื้อในกระแสเลือด ผู้เข้ารับบริการควรเลือกทำ EBOO Therapy กับคลินิกที่ได้มาตรฐาน และทีมงานที่มีประสบการณ์สูง

การให้โอโซนโดสต่ำๆ ดีกว่าการให้โดสสูงอย่างไร

  • ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโอโซนเป็นพิษ ซึ่งอาจส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดแดงเกิดการอักเสบหรือแตกตัว นอกจากนี้ยังช่วยลดภาวะเครียดของระบบต่างๆ ในร่างกายจากการได้รับโอโซนในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น
  • ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันอย่างสมดุล ไม่ทำให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับมาทำ Eboo Therapy ได้ซ้ำโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยาว
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือภาวะสุขภาพเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ผู้ป่วยโรค G6PD หรือผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่ไม่ควรได้รับปริมาณโอโซนที่โดสสูงๆ ทั้งนี้ควรเข้าพบแพทบ์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสุขภาพและวางแผนการบำบัดโอโซนอย่างเหมาะสม

วิธีการวัดผลหลังการทำ EBOO Therapy

การวัดผลหลังการทำ EBOO Therapy สามารถเปรียบเทียบได้จากผลเลือดในช่วงก่อนและหลังการบำบัด โดยพบว่าผู้เข้ารับบำบัดโดยส่วนใหญ่มีผลเลือดที่ดีขึ้น เช่น ออกซิเจนในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ระดับการอักเสบในร่างกายน้อยลง ฯลฯ (เมื่อเทียบกับผลเลือดก่อนเข้ารับบำบัด) ส่วนในด้านการเปลี่ยนแปลงของร่างกายผู้เข้ารับบริการจะรู้สึกได้ว่าร่างกายสดชื่น มีอาการเหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลียน้อยลง สมองปลอดโปร่งรวมถึงนอนหลับได้ดี นอกจากนี้ผลจากการทำ EBOO Therapy อย่างต่อเนื่องยังช่วยบรรเทาความรุนแรงของโรค เช่น ภาวะความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิต ช่วยให้คนไข้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ และช่วยลดการพึ่งพายารักษาโรคที่ต้องใช้ได้ในบางกรณี

EBOO Therapy เหมาะกับใครบ้าง?

  • ผู้ที่มีอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง เหนื่อยง่าย
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายหลังเจ็บป่วยรุนแรง รวมถึงผู้ที่อยู่ในช่วงพักพื้นหลังได้รับเชื้อ COVID-19
  • ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิต โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคภูมิแพ้ หอบหืด ลมพิษ ฯลฯ
  • ผู้ที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย หรือผู้ป่วย G6PD ที่ต้องการบำบัดร่างด้วยวิธีที่ปลอดภัย
  • ผู้ที่มีภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
  • ผู้ที่ต้องการเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดีจากภายใน
  • ผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวแต่ต้องการดูแลสุขภาพในเชิงป้องกัน

รีวิวผลเลือดหลังเข้ารับบริการ Ozone Therapy EBOO Technique ที่ LINNA Clinic

LIINNA Clinic (ลินนา คลินิก) เราพร้อมให้บริการบำบัดโอโซนด้วยเทคนิค EBOO PLUS Technique ดูแลทุกขั้นตอนการบำบัดอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์มากกว่า 13 ปี และผ่านเคสบำบัดจริงมาแล้วกว่า 30,000 เคส โปรแกรมโอโซนบำบัดนี้เหมาะสำหรับทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวแต่ต้องการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ หรือผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงผู้ที่มีอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง และผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพหลังเจ็บป่วย เช่น ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 หรือมีอาการผิดปกติหลังการฉีดวัคซีน สนใจสามารถนัดจองคิวแพทย์และปรึกษาลินนาคลินิกได้ที่เบอร์ 063-609-8888 หรือทางไลน์ @linnaclinic ได้เลยค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

LINNA Clinic คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 การันตีความเป็นผู้นำด้าน HIFU 4 ปีซ้อน!!

เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ LINNA Clinic ที่ปีนี้คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งถือเป็นโปรเจกต์เรือธงของนิตยสารแพรว ซึ่งจัดต่อเนื่องมาถึงปีที่ 11 และเป็นมาตรฐานสำคัญในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และบริการความงามที่ดีที่สุดของไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Icon of Perfection” สะท้อนแนวคิดว่า ความสมบูรณ์แบบไม่ได้มีสูตรสำเร็จ แต่คือความพอใจในแบบของตนเอง โดยในปีนี้ LINNA Clinic ได้รับถึง 2 รางวัลทรงเกียรติ ได้แก่ Hall of Fame รางวัลนี้ถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดในงาน PRAEW ICONIC BEAUTY ที่ไม่ได้มอบให้กับทุกแบรนด์ แต่คัดเลือกเฉพาะผู้ที่สามารถรักษามาตรฐานคุณภาพและความน่าเชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน สะท้อนถึงความมั่นคงและความเป็นผู้นำที่แท้จริงในวงการความงาม ปีนี้ LINNA Clinic ได้รับการประกาศเกียรติยศเข้าสู่ Hall of Fame อย่างสง่างาม พร้อมทั้ง คุณว่าน – กุศลิน ลัญจกรกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ LINNA

วัคซีนโควิด (COVID-19 Vaccine) คืออะไร? มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 “วัคซีน” ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลก ลดความรุนแรงของโรค และช่วยให้ระบบสาธารณสุขกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง (World Health Organization, 2023; European Medicines Agency, 2022) แต่ในขณะเดียวกัน การฉีดวัคซีนก็ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มีความเสี่ยง” เพราะเช่นเดียวกับการรักษาทางการแพทย์ทุกประเภท วัคซีนก็อาจมีผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ในบางคนได้เช่นกัน (Centers for Disease Control and Prevention, 2022). แม้วัคซีนโควิดจะมีประโยชน์อย่างมากในการลดความรุนแรงของโรคโควิดและช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย แต่ในอีกด้านหนึ่ง วัคซีนก็มี “ข้อจำกัดและผลข้างเคียง” ที่ควรรู้ไว้เช่นกัน เช่น อาการไข้ ปวดเมื่อย หรือในบางรายอาจมีอาการแพ้หรืออักเสบที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษ (Patone et al., 2022). การเข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสียของวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล พร้อมดูแลร่างกายได้ถูกวิธี ทั้งก่อนและหลังการฉีดวัคซีน บทความนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่หลักการทำงาน ประเภทของวัคซีน ผลข้างเคียง ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น ไปจนถึงแนวทางดูแลและฟื้นฟูร่างกายหลังฉีดอย่างปลอดภัย เพื่อให้คุณเข้าใจว่า วัคซีนคือเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรค แต่ก็ยังต้องอาศัยการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Table of Contents

โปรตีนหนาม (Spike Protein) คืออะไร? อาการและผลข้างเคียงที่ควรรู้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในยุคโควิด-19 เพราะโปรตีนชนิดนี้เป็นทั้ง กลไกสำคัญที่ไวรัสใช้เข้าสู่เซลล์ของมนุษย์ และเป็น ส่วนประกอบหลักของวัคซีนรุ่นใหม่ ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) ถือเป็น “เครื่องมือสำคัญ” ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถจดจำเชื้อไวรัสและสร้างภูมิคุ้มกันได้รวดเร็วเมื่อติดเชื้อจริง แต่อีกด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) หากคงอยู่ในร่างกายนานเกินไป หรือ กระตุ้นภูมิคุ้มกันมากเกินจำเป็น ก็อาจเป็นสาเหตุของ ภาวะอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น เหนื่อยง่าย สมองล้า นอนไม่หลับ ปวดเมื่อย หรือภาวะคล้าย Long COVID นอกจากนี้ยังมีรายงานทางการแพทย์ที่ชี้ให้เห็นว่า Spike Protein อาจเกี่ยวข้องกับภาวะ หลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis), กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis), สมองล้า (Brain Fog) และ ภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน (Autoimmune-like Response)

Shopping Cart
Scroll to Top