สูบบุหรี่ หรือ บุหรี่ไฟฟ้า ทำให้มีสารพิษโลหะหนักตกค้างในร่างกาย เสี่ยงโรคอะไรบ้าง? และป้องกันอย่างไร?

แม้ในปัจจุบันจะมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายจากการสูบบุหรี่ แต่จำนวนผู้สูบทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งการสูบบุหรี่แบบทั่วไปหรือบุหรี่ไฟฟ้าที่หลายคนเชื่อว่าเป็นนวัตกรรมที่ปลอดภัยมากกว่า ไม่มีกลิ่นควันและอาจช่วยให้เลิกบุหรี่ได้ง่ายขึ้น แต่ความจริงเบื้องลึกที่ซ่อนอยู่ในบุหรี่ไฟฟ้าอาจส่งผลอันตรายได้ไม่น้อยไปว่าการสูบบุหรี่แบบทั่วไป เนื่องจากในบุหรี่ไฟฟ้ามีทั้งสารพิษต่างๆ และโลหะหนักที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้สูบรวมถึงบุคคลรอบข้างได้อย่างคาดไม่ถึง บทความนี้จาก LINNA Clinic (ลินนา คลินิก) จะพามาทำความเข้าใจว่า โลหะหนักในบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้ามาจากไหน เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร? เสี่ยงเกิดโรคอะไรบ้าง พร้อมแนวทางเพื่อการฟื้นฟูสุขภาพและลดความเสี่ยงจากโลหะหนักตกค้างในร่างกาย

Table of Contents

บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร? มีสารพิษอะไรบ้าง และเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร

บุหรี่ไฟฟ้า (E-cigarette) คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อเลียนแบบการสูบบุหรี่โดยไม่ใช้การเผาไหม้แบบทั่วไป แต่ใช้กระแสไฟจากแบตเตอรี่ (Battery) ส่งไปยังคอยล์ (Coil) เพื่อให้ความร้อนกับน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า (E-liquid) ที่บรรจุอยู่ในแทงก์ ซึ่งในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าประกอบด้วยสารเคมีชนิดต่างๆ เช่น นิโคติน กลีเซอรีน โพรไพลีนไกลคอล และสารแต่งกลิ่น เมื่อน้ำยาถูกทำให้ร้อน จะระเหยเป็นไอ (Vapor) ให้ผู้ใช้สูดดมเข้าไปแทนการสูดควันจากการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ทั่วไป

แม้บุหรี่ไฟฟ้าจะไม่มีการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ทั่วไป แต่ระบบทำความร้อนภายในยังสามารถปล่อยสารพิษออกมาได้ โดยเฉพาะกลุ่มโลหะหนักที่อาจหลุดออกจากคอยล์ หรือชิ้นส่วนโลหะอื่นๆ ที่เสื่อมสภาพจากการใช้งานซ้ำๆ โดยสารเหล่านี้จะกลายเป็นละอองไอ (Aerosol) และระเหยเข้าสู่ร่างกายผ่านทางปอด อ้างอิงจากงานวิจัยซึ่งนำโดยทีมนักวิจัยจาก Johns Hopkins Bloomberg School of Public Health ร่วมกับสถาบันวิจัยอื่นๆ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Health Perspectives (ปี 2018) (1) พบว่า ในละอองไอของบุหรี่ไฟฟ้าหลายรุ่น (โดยเฉพาะแบบ tank-style ที่ผู้ใช้ต้องเติมน้ำยาเอง) มีการปนเปื้อนของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว (Lead), นิกเกิล (Nickel), โครเมียม (Chromium), สังกะสี (Zinc) และแมงกานีส (Manganese) ในระดับที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ สอดคล้องกับผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา (ปี 2020) (2) ที่รายงานว่าตรวจพบโลหะ และองค์ประกอบโลหะหนักหลายชนิดในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า และไอจากการสูบ เช่น อะลูมิเนียม แคดเมียม โคบอลต์ โครเมียม ทองแดง เหล็ก ตะกั่ว แมงกานีส นิกเกิล และสังกะสี ซึ่งโลหะหนักเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ และสะสมในกระแสเลือดหรืออวัยวะต่างๆ ได้

ในขณะเดียวกัน มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าพบโลหะหนักหลายชนิดในบุหรี่แบบทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคดเมียมและตะกั่ว ซึ่งอาจเกิดจากกระบวนการเพาะปลูกใบยาสูบ รวมถึงขั้นตอนการผลิตและแปรรูป อ้างอิงจากงานวิจัยปี 2012 ที่ศึกษาระดับโลหะหนัก (Cadmium, Cd และ Lead, Pb) ในยาสูบของแบรนด์ยอดนิยมในซาอุดีอาระเบีย (3) พบว่าผู้สูบบุหรี่อาจได้รับแคดเมียมประมาณ 0.22-0.78 ไมโครกรัม และตะกั่วประมาณ 0.97-2.64 ไมโครกรัม ต่อการสูบ 1 ซอง (20 มวน) ผ่านการสูดดมไอระเหยจากควันบุหรี่และก่อให้เกิดการสะสมตกค้างในร่างกาย

อันตรายจากโลหะหนักตกค้างในร่างกาย เสี่ยงโรคอะไรบ้าง?

สารโลหะหนักที่พบในบุหรี่ หรือบุหรี่ไฟฟ้า อาจสร้างผลกระทบต่อร่างกายได้หลายระบบ ดังนี้

  • ระบบประสาท เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ ภาวะสมองเสื่อมในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่สมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ อาจทำให้พัฒนาการช้าหรือมีผลต่อไอคิวในระยะยาว นอกจากนี้อาจทำให้เกิดโรคพาร์กินสัน ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง เคลื่อนไหวได้ช้าลง
  • ระบบทางเดินหายใจ เมื่อร่างกายได้รับโลหะหนักผ่านระบบทางเดินหายใจต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะกระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองในเยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในปอด และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งโพรงจมูก มะเร็งปอด
  • ตับและไต ตับต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อกำจัดสารพิษ หรือโลหะหนักออกจากร่างกาย ในขณะที่เนื้อเยื่อไตบางส่วนอาจถูกทำลาย เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะไตวายเรื้อรัง หรือโรคไตเสื่อม
  • ระบบเลือดและหัวใจ โลหะหนักกระตุ้นการอักเสบเรื้อรังภายในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ความดันโลหิตสูง หัวใจทำงานหนักขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Heart Attack) ซึ่งส่งผลร้ายแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิต
  • ระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อง่าย ฟื้นตัวยาก หรืออาจทำให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
  • ระบบสืบพันธุ์และการตั้งครรภ์ ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก ส่งผลกระทบต่อพัฒนาของทารกในครรภ์ รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแท้งหรือคลอดก่อนกำหนด

สัญญาณเตือนที่อาจเกิดจากโลหะหนักสะสมในร่างกาย

แม้การได้รับโลหะหนักเพียงเล็กน้อยอาจไม่แสดงอาการผิดปกติในทันที แต่หากมีการสะสมในร่างกายต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติหรืออาการเรื้อรังต่างๆ ดังนี้

  • เหนื่อยล้า อ่อนเพลียเรื้อรัง ถึงแม้พักผ่อนเพียงพอ
  • สมาธิสั้น ลืมง่าย หรือคิดอะไรไม่ออกบ่อยๆ
  • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย
  • มีอาการไอเรื้อรัง แน่นหน้าอก หายใจไม่เต็มอิ่ม
  • ภูมิคุ้มกันร่างกายไม่แข็งแรง ป่วยง่าย ฟื้นตัวช้า
  • ปวดเมื่อยที่กล้ามเนื้อและข้อกระดูกแบบเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ความดันโลหิตสูงผิดปกติ หรือในบางรายอาจมีอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก เหงื่อออกมากผิดปกติ
  • ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะเวลากลางคืน มีอาการบวมที่เท้า เนื่องจากไตทำงานได้แย่ลง

หากคุณเป็นผู้สูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า หรือเป็นผู้รับควันบุหรี่มือสอง (Secondhand smoke) และเริ่มมีอาการผิดปกติเหล่านี้ ควรเข้ารับการตรวจประเมินสุขภาพกับแพทย์ พร้อมตรวจวัดระดับโลหะหนักในร่างกายอย่างละเอียด เพื่อวางแผนดูแลและฟื้นฟูสุขภาพอย่างเหมาะสม

วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงจากโลหะหนัก

  • งดสูบบุหรี่ หรือบุหรี่ไฟฟ้าโดยเด็ดขาด รวมถึงหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่อาจมีการปนเปื้อนของโลหะหนัก เช่น พื้นที่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรม โรงเผาขยะ บริเวณที่มีการจราจรหนาแน่น ผับ บาร์ หรืออยู่ใกล้ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อช่วยให้ไตขับของเสียออกจากร่างกายได้มีประสิทธิภาพ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ได้แก่ ผักใบเขียวเข้ม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชต่างๆ กระเทียม ขิงและขมิ้น
  • เสริมแร่ธาตุบางชนิด เช่น สังกะสี ซีลีเนียม แคลเซียม และธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนช่วยลดการดูดซึมโลหะหนัก
  • เข้ารับการตรวจสุขภาพและประเมินระดับโลหะหนักในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น มีคนรอบตัวสูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า สถานที่พักอาศัยตั้งอยู่ใกล้กับโรงงาน เขตอุตสาหกรรม หรือพื้นที่ที่อาจมีการปนเปื้อนทางสิ่งแวดล้อม

ทางเลือกการขจัดโลหะหนักออกจากร่างกายด้วยการตรวจหาโลหะหนักในเลือด การทำ Chelation Therapy และ EBOO Therapy

  • การตรวจโลหะหนัก ผ่านการใช้ตัวอย่างเลือด ปัสสาวะ รวมถึงเส้นผมหรือเล็บ เพื่อวิเคราะห์ว่ามีปริมาณโลหะหนักเกินกว่าค่ามาตรฐานหรือไม่ หากตรวจพบค่าโลหะหนักสูงเกินกว่าค่ามาตรฐานทั่วไป แพทย์อาจเสนอแนะแนวทางการฟื้นฟูร่างกายที่เหมาะสมกับปัญหาและสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล เช่น การทำคีเลชั่น (Chelation Therapy) หรือ EBOO Therapy เป็นลำดับถัดไป
  • Chelation Therapy คือการขจัดโลหะหนักที่ตกค้างในร่างกาย ด้วยการใช้สารกลุ่มคีเลเตอร์ (Chelating Agents) เช่น EDTA, DMSA, หรือ DMPS มีคุณสมบัติในการจับกับโลหะหนักหรือแร่ธาตุบางชนิด เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม สารหนู ฯลฯ และรวมตัวกันกลายเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำ หรือคีเลต (Chelates) ซึ่งสามารถขับออกจากร่างกายได้ทางปัสสาวะหรืออุจจาระ โดยวิธีนี้เป็นมาตรฐานทางการแพทย์ในการรักษาภาวะพิษจากโลหะหนักเฉียบพลัน สามารถทำได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ การฉีดเข้าหลอดเลือดดำ และรับประทาน ขึ้นอยู่กับชนิดของโลหะที่พบและระดับความรุนแรงของปัญหา

อย่างไรก็ตามการทำ Chelation Therapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีการวินิจฉัยชัดเจนแล้วว่ามีภาวะโลหะหนักเกินมาตรฐานทั่วไปเท่านั้น โดยในปัจจุบันยังไม่มีการรองรับในกรณีที่ทำเพื่อการดีท็อกซ์ หรือการป้องกันโรคเรื้อรังทั่วไปซึ่งเป็นกรณีที่อาจยังไม่มีความจำเป็น และต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไต หัวใจ หรือผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G-6-PD

  • EBOO Therapy ด้วยเทคนิค EBOO PLUS ซึ่งเป็นกระบวนการกรองเลือดและขจัดโลหะหนัก รวมถึงสารพิษตกค้าง โดยนำเลือดออกจากร่างกายเพื่อทำความสะอาดผ่านไส้กรองปลอดเชื้อ จากนั้นเติมโอโซนความเข้มข้นต่ำให้เลือดแล้วนำกลับเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ ผ่านทางเส้นเลือดดำซึ่งเป็นระบบปิดตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อการสร้างสมดุลให้ระบบหลอดเลือด ช่วยลดภาวะอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากสารพิษและโลหะหนักที่ตกค้างสะสมอยู่ในร่างกาย โอโซน (O3) ที่ได้จากหัตถการนี้จะเข้าไปทำปฏิกิริยากับสารโลหะหนักหลายตัว ทำให้สามารถถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น และคุณสมบัตินี้ทำให้สามารถลดปริมาณโลหะหนักลงได้

นอกไปจากนี้ EBOO Therapy ยังเป็นการบำบัดที่ช่วยเพิ่มพลังงานระดับเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้รู้สึกสดชื่น ลดอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง และฟื้นฟูสมดุลภายในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ที่มีระดับโลหะหนักในร่างกายสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน รวมถึงบุคคลทั่วไปที่ต้องการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ใช้เวลาทำประมาณ 45-60 นาทีต่อครั้ง และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติโดยไม่ต้องพักฟื้น

อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาเข้ารับบริการกำจัดโลหะหนักในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีอุปกรณ์ครบครันและดำเนินการโดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง เนื่องจากกระบวนการเหล่านี้มีความซับซ้อน และจำเป็นต้องมีการวางแผนบำบัดให้สอดคล้องกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและมีความปลอดภัย

สรุป

ดูแลสุขภาพของคุณและคนที่คุณรักตั้งแต่วันนี้ ด้วยการงดสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า หลีกเลี่ยงมลภาวะ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และเสริมด้วยหัตถการขจัดโลหะหนักออกจากร่างกาย เช่น การตรวจโลหะหนักที่ตกค้างในร่างกาย การทำ Chelation Therapy และ EBOO Therapy ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกายอย่างล้ำลึกและลดความเสี่ยงจากโลหะหนักตกค้างในระยะยาว สนใจเข้ารับการประเมินหรือฟื้นฟูสุขภาพกับทีมแพทย์มากประสบการณ์กว่า 14 ปี ผ่านเคสบำบัดจริงกว่า 25,000 ราย สามารถติดต่อเราได้ที่เบอร์ 063-609-8888, Whatsapp +66 919799554 หรือทาง LINE: @linnaclinic ได้เลยค่ะ

Reference

  • Olmedo, P., Goessler, W., Tanda, S., Grau-Perez, M., Jarmul, S., Aherrera, A., Chen, R., Hilpert, M., Cohen, J. E., Navas-Acien, A., & Rule, A. M. (2018). Metal concentrations in e-cigarette liquid and aerosol samples: The contribution of metallic coils. Environmental Health Perspectives, 126(2), 027010. https://doi.org/10.1289/EHP2175
  • Zhao, D., Aravindakshan, A., Hilpert, M., Olmedo, P., Rule, A. M., Navas-Acien, A., & Aherrera, A. (2020). Metal/metalloid levels in electronic cigarette liquids, aerosols, and human biosamples: A systematic review. Environmental Health Perspectives, 128(3), 036001. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/32186411/
  • Ashraf, M. W. (2012). Levels of heavy metals in popular cigarette brands and exposure to these metals via smoking. The Scientific World Journal, 2012, 729430. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3320036/

บทความที่เกี่ยวข้อง

购物车
滚动至顶部