ฉีดโบท็อก (Botox) กี่วันเห็นผล

โดยทั่วไป การฉีดโบท็อก (Botox) จะเห็นผลชัดเจนต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีด สภาพผิว และปริมาณโบท็อกที่ใช้ (Botox) ดังนั้นหมออยากให้เข้าใจว่าระยะเวลาที่เห็นผลของการฉีดโบท็อก (Botox) ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยค่ะ

ตำแหน่งที่ฉีด:

  •  บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อบ่อย เช่น หน้าผาก รอยตีนกา รอยขมวดคิ้ว มักเห็นผลเร็วภายใน 3-7 วัน
  •  บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อเยอะ เช่น กราม อาจใช้เวลา 2-4 สัปดาห์
  • ปริมาณยาที่ฉีด: ยิ่งใช้ปริมาณยาเยอะ มักเห็นผลเร็วขึ้น
  • ชนิดของโบท็อก: แต่ละยี่ห้อมีความบริสุทธิ์และออกฤทธิ์แตกต่างกัน บางยี่ห้ออาจเห็นผลไวกว่าบางยี่ห้อค่ะ

ระยะเวลาโดยทั่วไป:

  •  ริ้วรอยบนใบหน้า: รอยตีนกา รอยขมวดคิ้ว รอยหน้าผาก มักเห็นผลภายใน 3-7 วัน ผลลัพธ์เต็มที่ภายใน 2-4 สัปดาห์
  • ยกกระชับ: ยกคิ้ว ลิฟต์กรอบหน้า ผลลัพธ์เต็มที่ภายใน 2-4 สัปดาห์
  • ปรับรูปหน้า: ฉีดกรามปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง โดยลดขนาดของกล้ามเนื้อกราม ทำให้หน้าดูเล็กลง มักเห็นผลภายใน 2-3 สัปดาห์ ผลลัพธ์เต็มที่ภายใน 2-4 สัปดาห์

Table of Contents

ผลลัพธ์

ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อก (Botox) อยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และยี่ห้อที่ใช้

  • หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะค่อยๆ กลับมาทำงานตามปกติ จำเป็นต้องฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ โดย ปกติสามารถฉีดซ้ำได้ภายใน 3-6 เดือน
  •  ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินตำแหน่งที่ฉีด ปริมาณยา และชนิดของโบท็อกที่เหมาะสม

หมอแนะนำว่ายังไม่ควรกังวลหากยังไม่เห็นผลทันที่ฉีด เพราะโบท็อก (Botox) ต้องใช้เวลาออกฤทธิ์ โดยผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ภายในช่วงเวลาที่แจ้งไป หากรู้สึกกังวลหรือไม่แน่ใจ ควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการฉีดโบท็อก (Botox) เพื่อตรวจสอบผลลัพธ์และความปลอดภัย ค่ะ

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อระยะเวลาการเห็นผลของการฉีดโบท็อก (Botox) เช่น เพศ อายุ สภาพผิว ไลฟ์สไตล์ และปัจจัยอื่นๆ ด้วยค่ะ

ทำไมฉีดโบท็อก (Botox) แล้วไม่เห็นผล

การฉีดโบท็อก(Botox) ไม่เห็นผลอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากคุณภาพตัวยาของโบท็อก เทคนิคการฉีด และปัจจัยอื่นๆ ของผู้รับการฉีดเอง มาดูสาเหตุที่พบบ่อยกันค่ะ

สาเหตุจากตัวโบท็อก (Botox)

  • โบท็อก(Botox) ปลอมหรือคุณภาพต่ำ: โบท็อก (Botox) ปลอมอาจไม่มีสารออกฤทธิ์ที่แท้จริง หรือมีปริมาณน้อยเกินไป ทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์
  • โบท็อก(Botox) หมดอายุ: โบท็อก (Botox) ที่หมดอายุจะเสื่อมสภาพ ประสิทธิภาพลดลง ส่งผลให้เห็นผลช้าหรือไม่เห็นผลเลย

สาเหตุจากเทคนิคการฉีด:

  •  ฉีดโบท็อก (Botox) ในปริมาณไม่เพียงพอ: แพทย์อาจประเมินปริมาณโบท็อก (Botox) ที่เหมาะสมกับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อไม่แม่นยำ ทำให้ไม่เห็นผล หรือเห็นผลน้อยมาก
  • ฉีดโบท็อก(Botox) ผิดตำแหน่ง: การฉีดไม่ตรงจุดของกล้ามเนื้อเป้าหมาย ส่งผลให้ไม่สามารถลดการทำงานของกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่

สาเหตุจากปัจจัยของผู้รับการฉีด: 

  • มีโรคประจำตัวบางชนิด: เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคภูมิแพ้รุนแรง ยาบางชนิด อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของโบท็อก (Botox)
  • ดื้อโบท็อก ฉีดแล้วจะไม่เห็นผล หรือเห็นผลได้ไม่นาน
  • ดื่มแอลกอฮอล์ก่อนและหลังฉีด: แอลกอฮอล์อาจลดประสิทธิภาพของโบท็อก ทำให้เห็นผลไม่ชัดเจน หรืออยู่ได้ไม่นาน
  • ทำกิจกรรมในที่แจ้งตลอดเวลาหรือกิจกรรมที่อยู่ในที่ร้อนบ่อยๆ แสงแดดและความร้อน อาจทำให้ฤทธิ์ของโบท็อกเสื่อมสภาพไว

การฉีดโบท็อก (Botox) เห็นผลช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับโดสที่ฉีดหรือไม่

จากประสบการณ์ของหมอ การฉีดโบท็อก(Botox) เห็นผลช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับโดสที่ฉีดระดับนึง โดยทั่วไปแล้วโบท็อก (Botox) จะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อโดยจับกับโปรตีนตัวรับที่ปลายประสาทของกล้ามเนื้อ เมื่อกล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ ริ้วรอยหรือปัญหาที่เกิดจากกล้ามเนื้อทำงานมากเกินไปก็จะค่อยๆ ลดลง

ปริมาณโบท็อก (Botox) ที่ฉีดเข้าไปจะสัมพันธ์กับขนาดของกล้ามเนื้อและระดับของปัญหาที่แก้ไข โดยปกติแล้ว บริเวณที่มีกล้ามเนื้อขนาดเล็ก เช่น หางตา รอยย่นกระต่าย จะใช้ปริมาณโบท็อกน้อยกว่าบริเวณที่มีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ เช่น หน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว

ในทางกลับกันหากฉีดโบท็อก (Botox) ในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงมากเกินไป ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปากเบี้ยว ตาตก ยิ้มไม่สมส่วน หรือหน้าแข็ง ยิ้มแข็ง ตาแข็ง ดูไม่ธรรมชาติค่ะ

โบท็อก (Botox) มีฤทธิ์อยู่ได้นานกี่เดือน

ระยะเวลาที่โบท็อกออกฤทธิ์นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยดังนี้ค่ะ

  • ยี่ห้อของโบท็อก (Botox) : โบท็อก (Botox) แต่ละยี่ห้อมีความบริสุทธิ์แตกต่างกันไป โดยโบท็อก (Botox) ที่บริสุทธิ์มากกว่าจะอยู่ได้นานกว่า 5-6 เดือน หรือในบางกรณี 8-12 เดือน
  • ตำแหน่งที่ฉีด: บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อยๆและมัดกล้ามเนื้อบริเวณนั้นมีความแข็งแรงมาก เช่น หน้าผาก หรือหว่างคิ้ว หากขมวดคิ้วบ่อยๆริ้วรอยอาจกลับมาไวขึ้น
  • หากท่านใดมีภาวะดื้อโบท็อกระยะเวลาเห็นผลจะสั้นลง
  • ฉีดโบท็อกน้อยเกินไป: การฉีดโบท็อก (Botox) ด้วยปริมาณที่น้อยเกินไปอาจทำให้โบท็อก (Botox) หมดฤทธิ์เร็วขึ้น
  • การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อก (Botox) : การนวดหน้าหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดโบท็อก (Botox) บ่อยๆ การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำและการอยู่กลางแจ้ง ตากแดดเป็นเวลานานๆ หรือเข้าที่ร้อน เช่น Sauna, Steam, โยคะร้อน อาจทำให้โบท็อกหมดฤทธิ์เร็วขึ้น

โดยเฉลี่ยแล้ว โบท็อก (Botox) จะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน โดยโบท็อก (Botox) ที่ฉีดบริเวณริ้วรอยจะอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน โบท็อกที่ฉีดบริเวณกรามจะอยู่ได้นานประมาณ 5-6เดือน หรือนานกว่านั้นได้ และโบท็อกที่ฉีดบริเวณอื่นๆ จะอยู่ได้นานประมาณ 3-5 เดือนทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลสุขภาพของแต่ละบุคคลด้วยค่ะ

ทั้งนี้ หมอขอเน้นย้ำเรื่องการพบแพทย์เพื่อประเมินการรักษา และข้อสำคัญควรเลือกใช้บริการกับคลินิกหรือโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ และทำการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ลินนาคลินิก (LINNA CLINIC) ยินดีให้บริการท่านสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามฟรีค่ะ เพียงแจ้งความต้องการหรือปัญหาที่กังวล ทางคลินิกจะประเมินเบื้องต้นและให้คำแนะนำอย่างเหมาะสม โดยสามารถนัดหมายล่วงหน้าได้ที่เบอร์ 063-609-8888 หรือทางไลน์ @linnaclinic

Related Articles

เทรนด์การฉีดโบท็อก แบบไหนที่นิยมในหมู่ Celeb

ดารา Hollywood เริ่มฉีด เบบี้โบท็อก (Baby Botox) จนเป็นเทรนด์ฮอตฮิตอยู่ตอนนี้ ดาราสาวหลายคนกล่าวว่า รู้สึกว่าการฉีดเทคนิคเบบี้โบท็อก (Baby Botox) เป็นวิธีที่ทำให้มีความอ่อนเยาว์หน้าดูเด็กที่สุดทำให้ดูสวยอย่างเป็นธรรมชาติ Table of Contents เบบี้โบท็อก (Baby Botox) คืออะไร เบบี้โบท็อก (Baby Botox) คือ เทคนิคการฉีดโบท็อก (Botox) แบบใหม่ล่าสุดที่ฮิตมากในหมู่เซเลปคนดังฮอลลีวูดถือเป็นเทคนิคการฉีดโบท็อก (Botox) เพื่อเน้นลดริ้วรอย เช่น รอยย่นบนบริเวณหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว และรอยตีนกา แต่ใบหน้ายังเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ การฉีดโบท็อก (Botox) ในบริเวณรอยลึก สำหรับการฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอยจะเห็นผลชัดเจนในการแก้ปัญหาริ้วรอยตื้นๆ หรือริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น การขมวดคิ้ว การเลิกคิ้ว ริ้วรอยตีนกา การยิ้ม ริ้วรอยร่องแก้ม เป็นต้น แต่ถ้าหากเป็นปัญหาริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากปัญหากระดูกทรุดตัว อาจจะต้องแก้ไขโดยการฉีดฟิลเลอร์หนุนในชั้นผิว เพราะสารเติมเต็มในฟิลเลอร์สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกได้มากกว่าการฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอยค่ะ 3 เทคนิคฉีดโบท็อก (Botox)

อยากฉีดโบท็อก (Botox) แต่กลัวเข็ม กลัวเจ็บ ทำอย่างไรดี

ก่อนทำหัตถการทุกครั้ง หมอจะทำการแปะยาชาหรือใช้น้ำแข็งช่วยประคบเย็นก่อนทำการฉีดทุกครั้ง รวมถึงเข็มที่ลินนาคลินิกเลือกใช้จะมีขนาดที่เล็กเป็นพิเศษ จึงทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเท่ากับเข็มที่มีขนาดทั่วไปค่ะ หากใครที่มีความกลัวเข็มมากเป็นพิเศษก็สามารถขอทำการแปะยาชาก่อนได้เช่นกันโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม  และเราเองมีการใช้ตัว Face Vibration เพื่อช่วยในการเบนความสนใจได้ด้วยเช่นกัน และยังมีตัวช่วยอื่นๆที่หมอสรุปไว้ให้ด้านล่างนี้ด้วยเช่นกันค่ะ นอกจากนั้นทางหากท่านใดมีความกังวลหรือไม่สบายใจตรงจุดไหนสามารถเข้ามาพูดคุยสอบถามรายละเอียดขั้นตอนการรักษากับหมอได้ที่ลินนาคลินิก (LINNA Clinic) ก่อนได้เลยนะคะ Table of Contents คนกลัวเข็มจัดการกับการกลัวอย่างไรดี การแก้ไขอาการกลัวเหล่านี้สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยเริ่มที่ตัวเราเองได้เลยค่ะ มีวิธีการดังนี้ ปรับทัศนคติของตัวเองใหม่ การจัดลำดับความคิดของตัวเองให้ได้เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกเลยค่ะ ก่อนอื่นให้ปรับทัศนคติที่มีต่อสิ่งที่ตัวเองกลัว ยกตัวอย่าง เช่น การกลัวเข็ม โดยให้คิดว่าการเผชิญหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปสามารถทำได้โดยค่อย ๆ เอาตัวเองไปอยู่กับสิ่งๆนั้นให้มากขึ้นไม่ต้องทำในทันทีทันใดนะคะ ให้ค่อย ๆ ทำ เช่น ไปอยู่กับเพื่อนที่ทำมาแล้วสวยเราก็จะเริ่มซึมซับและปรับทัศนคติให้กลัวน้อยลงและมีความกล้ามากขึ้นที่จะทำค่ะ ตั้งสมาธิและผ่อนคลาย คนที่ไม่กล้า ผ่า ฉีดยา การตั้งสมาธิช่วยทำให้เราใจเย็นลงได้ แต่มันทำได้มากกว่านั้นค่ะ โดยการตั้งสมาธิกำหนดลมหายใจ เข้า-ออกจะช่วยให้จิตใจของเรานิ่งมากขึ้นค่ะ โดยคนเป็นโรคนี้ถ้าหากฝึกไปเรื่อย ๆ ยิ่งฝึกมากเท่าไหร่ก็จะสามารถ ควบคุมสติและควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้มากขึ้นค่ะ การเบี่ยงเบนความสนใจ หากกลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้ให้พยายามคิดถึงสิ่งอื่นแทนค่ะโดยก่อนทำอาจจะแจ้งหมอของเราว่าให้ช่วยพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ในขณะที่ฉีดยาชา สมองจะได้คิดไปเรื่องอื่นไม่มาโฟกัสเรื่องนี้หรือขณะที่ทำให้ตัวเองหันหน้าไปมองทางอื่นเพื่อจะได้ไม่มองเห็นซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลมากเลยค่ะ ใช้ตัวยา Penthrox ช่วย

มีโรคประจำตัวอยู่ ฉีดโบท็อก (Botox) ได้ไหม

ก่อนอื่นหมอแนะนำผู้ที่จะเข้ามาทำการฉีดโบท็อก (Botox)  มาเช็คความพร้อมของสุขภาพกันเสียก่อน โดยจะต้องไม่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ และให้นมบุตรส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น คนที่มีโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ กล้ามเนื้ออ่อนแรง คนที่มีปัญหากล้ามเนื้อในการกลืน ควรหลีกเลี่ยง เพื่อความปลอดภัย และก่อนฉีดโบท็อก ไม่ควรปกปิดโรคประจำตัวกับแพทย์ผู้ให้การรักษาค่ะ Table of Contents ข้อควรพิจารณาก่อนการฉีดโบท็อก (Botox) สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เพื่อความปลอดภัย  ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อก (Botox)  แพทย์จะทำการประเมินความเสี่ยงและความเหมาะสมของคุณโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของโรคประจำตัว: บางโรคอาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด หรือระบบประสาท ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงจากการฉีดโบท็อก (Botox) ได้ ยาที่รับประทานอยู่: ซึ่งยาบางชนิดอาจมีปฏิกิริยาต่อกันกับโบท็อก (Botox) ประวัติการแพ้ยา: หากคุณเคยแพ้ยาใดๆ หรือมีประวัติการแพ้ทุกชนิดควรแจ้งแพทย์ให้ทราบทุกครั้งก่อนทำการฉีดโบท็อก (Botox) หมอแนะนำห้ามฉีดโบท็อก (Botox) เองโดยเด็ดขาดเนื่องจากโบท็อก (Botox) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงหากใช้ไม่ถูกต้อง การฉีดผิดจุด หรือฉีดในปริมาณที่มากจนเกินไปอาจส่งผลเสียร้ายแรงได้ เช่น ใบหน้าเบี้ยว ตาตก ปากตกเป็นต้น ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเสมอเพื่อความปลอดภัยค่ะ โรคประจำตัวใดห้ามฉีดโบท็อก (Botox) ผู้ป่วยโรคระบบกล้ามเนื้อ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส

Scroll to Top