8 ข้อควรรู้ก่อนฉีดสเต็มเซลล์ Stem Cell หน้าใส ย้อนวัยระดับ DNA

พูดได้เลยว่าในปัจจุบันมีหัตถการที่ช่วยยกกระชับ ปรับผิวให้กลับมาเรียบเนียนเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ยิ่งกว่าที่เคยให้เราเลือกทำหลากหลายวิธีมาก ซึ่งแต่ละวิธีก็มีจุดเด่นและให้ผลลัพธ์หลังการรักษาที่แตกต่างกันออกไป หนึ่งในหัตถการที่ช่วยย้อนวัยให้ผิวลึกถึงระดับเซลล์ ที่โด่งดังและมีประวัติใช้รักษามาอย่างยาวนาน คือ การฉีดสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ที่ใช้วิธีเซลล์ซ่อมเซลล์ การฉีด Stem Cell คืออะไร? ปลอดภัยและเห็นผลดีจริงไหม? ลินนาคลินิก (Linna Clinic) รวม 8 ข้อควรรู้ก่อนฉีดสเต็มเซลล์ (Stem cell) มาไว้เพื่อเป็นแนวทางในการประกอบการตัดสินใจให้กับทุกคนไว้ในบทความนี้แล้ว

Table of Contents

Stem cell คืออะไร

ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนว่าในร่างกายของเรานั้นประกอบขึ้นด้วยเซลล์ขนาดเล็กจิ๋ว กว่า 100 ล้านล้านเซลล์ ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะรวมตัวกันและกลายเป็นระบบอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ เช่น เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ผิวหนัง เซลล์ประสาท เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาว ฯลฯ

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คือ เซลล์ต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ซึ่งจัดเป็นเซลล์ตัวอ่อนที่ยังไม่มีหน้าที่จำเพาะเจาะจง และสามารถแบ่งตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งในภายหลังสเต็มเซลล์สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์อื่นๆ ได้ เช่น พัฒนาไปเป็นเซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์ประสาท เซลล์กระดูก เป็นต้น ซึ่งหน้าที่สำคัญของสเต็มเซลล์ก็คือ การพัฒนาและเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเซลล์ต่างๆ เพื่อเข้าทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพและตายไป ทำให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ ซึ่งสเต็มเซลล์สามารถแบ่งออกตามระยะของความสามารถในการเจริญเติบโต ได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

  • Totipotent Stem Cell เป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่ได้จากตัวอ่อน มีศักยภาพสูงสุด สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดใดก็ได้
  • Pluripotent Stem Cell เป็นเซลล์ที่ได้จากเซลล์ต้นกำเนิดโตเต็มวัย (Adult Stem Cells) ที่ยังสามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์อื่นได้หลายแบบ
  • Multipotent Stem Cell/Unipotent Stem Cell เป็นเซลล์ที่ได้จากเซลล์ต้นกำเนิดโตเต็มวัย (Adult Stem Cells) แต่เป็นเซลล์ที่มีการระบุหน้าที่จำเพาะเจาะจงและไม่สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ต้นกำเนิดชนิดอื่นได้

Stem cell มาจากไหน

Stem cell นั้นเดิมทีเป็นสารที่มีอยู่แล้วภายในร่างกายของคนเรา เซลล์ต่างๆ ภายในร่างกายของเราจะเสื่อมสภาพ ตายไป และเกิดการทดแทนของเซลล์ตัวใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยเซลล์ใหม่ที่เข้ามาแทนที่เซลล์เก่าที่ตายไปคือ Stem Cell นั่นเอง แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น หรือร่างกายได้รับผลกระทบจากโรคภัยต่างๆ อัตราการผลิตเซลล์ใหม่ๆ จะยิ่งลดน้อยลงเมื่อเทียบกับจำนวนเซลล์ที่ตายไป ร่างกายจึงเริ่มเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว แนวคิดของการใช้ Stem Cell เพื่อฟื้นฟูเซลล์ในร่างกายให้กลับมาทำงานได้อย่างปกติจึงเกิดขึ้น

ในปัจจุบัน Stem Cell ที่นำมาใช้ทางการแพทย์นั้น มีแหล่งที่มาหลากหลายรูปแบบ เช่น

  • การรับ Stem cell มาจากร่างกายของเราเอง (Autologous)
  • การรับ Stem cell จากร่างกายคนอื่น (Alloheneic)
  • การรับ Stem cell จากสัตว์ (Xenotherapy) เช่น PDRN จากปลาแซลมอน

ในวงการความงามก็ได้นำเอาแนวคิดของการซ่อมแซมเซลล์ด้วย Stem Cell มาปรับใช้เพื่อปรับแก้ปัญหาผิวเช่นเดียวกัน โดยการนำเอาเซลล์ต้นกำเนิดภายในร่างกายที่มีชื่อว่า Mesenchymal Stem Cells (MSCs) (สเต็มเซลล์ชนิดมีเซนไคม์) มาใช้ในการรักษาและฟื้นฟูผิวหนังให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ เต่งตึงได้อีกครั้ง โดย MSCs เป็นสเต็มเซลล์ที่มีคุณสมบัติในการแบ่งตัวและพัฒนาไปเป็นเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้อย่างอิสระ ทั้งเซลล์ผิวหนัง เซลล์ไขมัน เซลล์กระดูก/กระดูกอ่อน และเซลล์จำเพาะอื่นๆ โดยแหล่งที่มาของ MSCs ได้แก่ สายสะดือ ไขมัน เลือดจากรก ไขกระดูก และฟัน ซึ่งที่ลินนาคลินิก (Linna Clinic) เราเลือกใช้ Stem Cell MScs ในการรักษาและฟื้นฟูผิวถึงระดับ DNA ให้กับคนไข้เช่นเดียวกันค่ะ

ฉีด Stem cell อันตรายไหม

การฉีด Stem Cell ในวงการความงามโดยส่วนใหญ่จะเป็นสเต็มเซลล์ชนิด MSCs ซึ่งเซลล์ต้นกำเนิดชนิดนี้เป็นเซลล์ที่ยังไม่มีหน้าที่จำเพาะเจาะจง เมื่อฉีดเข้าชั้นผิวจึงไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน การฉีด Stem Cell ชนิดนี้จึงมีความปลอดภัยและได้รับความนิยมในวงกว้าง แต่ทั้งนี้จะต้องเลือกใช้ Stem cell จากแหล่งที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและเหมาะกับตัวเองมากที่สุด ดำเนินการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็จะช่วยยกระดับความปลอดภัยในการรักษาขึ้นได้ ที่ลินนาคลินิก (Linna Clinic) ทุกสาขา เราพร้อมบริการฉีดสเต็มเซลล์ (Stem Cell) MSCs คุณภาพสูง ดูแลทุกขั้นตอนรวมถึงดำเนินการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะฉะนั้นสามารถมั่นใจในความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ได้หลังการฉีดสเต็มเซลล์ MSCc ที่ลินนาคลินิก (Linna Clinic) ได้เลยค่ะ

Stem cell MSCs มาจากไหน ช่วยเรื่องอะไร

Stem cell MSCs (Mesenchymal Stem Cells) เป็นเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์ในร่างกาย สามารถแบ่งตัวและพัฒนาไปเป็นเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้มากมาย ซึ่งแหล่งที่มาของสเต็มเซลล์ MSCs ได้แก่ สายสะดือ ไขมัน เลือด เลือดจากรก ไขกระดูก และฟัน มีทั้งชนิดที่เป็นของตัวเราเอง (Autologous) หรือเป็น MSCs ที่รับจากบุคคลอื่น (Alloheneic) ซึ่ง MSCs ที่ใช้ในวงการความงามมีคุณสมบัติที่จะช่วยจัดการปัญหาผิวได้ ดังนี้

  • สเต็มเซลล์ MSCs จะเข้าไปทำหน้าที่แทนเซลล์ผิวเดิมที่ตายไป ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว และเซลล์ผิวให้กลับมาแข็งแรง
  • ช่วยลดเลือนริ้วรอย ช่วยรักษารอยแผลและอาการอักเสบในชั้นผิว
  • เพิ่มไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ในชั้นผิว ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวดูยืดหยุ่น กระชับ และเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของ Growth Factor และ Cytokines ในร่างกาย ทำให้ผิวผลิตคอลลาเจนมากยิ่งขึ้น

อายุเท่าไหร่ถึงทำ Stem cell ได้

  • การฉีดสเต็มเซลล์ (Stem Cell) เหมาะสำหรับกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นบุคคลที่มีผิวอ่อนแอ บอบบาง ต้องการฟื้นฟูผิวถึงระดับเซลล์ หรือเคยมีประวัติการดูแลผิวด้วยหัตถการอื่นๆ มาแล้ว แต่ไม่เห็นผลลัพธ์เท่าที่ควร

ใช้ Stem cell คนอื่นมาฉีดจะมีผลอะไรไหม

ในกรณีที่รับเอาสเต็มเซลล์ MSCs จากผู้ให้รายอื่นเพื่อใช้ในการดูแลผิวนั้น ยังคงเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยเช่นเดียวกัน เพราะ MSCs เป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่ยังไม่มีหน้าจำเพาะเจาะจง สามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์อื่นๆ ได้อย่างอิสระ โดยผู้ให้สเต็มเซลล์จะต้องผ่านการคัดกรองสุขภาพมาก่อน และจะต้องไม่มีโรคติดเชื้อ หรือโรคอันตรายอื่นๆ จากนั้นนำ Stem Cell ที่ได้มาทำการเพาะเลี้ยงและเพิ่มจำนวนภายในห้องแล็บที่สะอาด และได้มาตรฐาน ซึ่ง Stem Cell เหล่านี้จะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพลักษณะและความปลอดภัยอีกครั้งก่อนการนำมาใช้ฉีดให้กับผู้รับ จึงสามารถมั่นใจได้เลยว่าการรับ Stem Cell MSCs จากผู้ให้คนอื่นมีความปลอดภัยค่อนข้างสูงแน่นอน

ผลลัพธ์หลังการฉีดสเต็มเซลล์ อยู่ได้นานแค่ไหน

ภายหลังจากการฉีดสเต็มเซลล์ในช่วง 1-4 สัปดาห์แรก จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงของผิว ผิวดูกระชับ เต่งตึง ริ้วรอยดูจางลง และสามารถคงผลลัพธ์หลังการรักษาได้ 3-12 เดือน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองหลังการฉีด Stem Cell ของแต่ละคนด้วย

ต้องดูแลตัวเองอย่างไรก่อนและหลังฉีดสเต็มเซลล์ (Stem Cell)

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีหลังการฉีด Stem Cell ผู้เข้ารับการรักษาควรดูแลตัวเองก่อนและหลังฉีด ดังนี้

การเตรียมตัวก่อนฉีดสเต็มเซลล์

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8-12 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการฉีด
  • หากมีโรคประจำตัว หรือมียารักษาโรคประจำตัวที่ต้องทานเป็นประจำ ควรแจ้งข้อมูลให้แพทย์ทราบโดยละเอียดก่อนทำการรักษา
  • งดอาหารประเภทของมัน หรือของทอด ช่วงก่อนและหลังฉีดประมาณ 2-3 วัน
  • หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่นๆ เช่น การทำเลเซอร์ ดูดไขมัน การทำคีเลชัน อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ทั้งก่อนและหลังฉีด Stem Cell

ข้อควรปฏิบัติหลังการฉีดสเต็มเซลล์

  • หลังการฉีด ให้งดการเดินทางไปยังสถานที่ที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อโรค เช่น โรงพยาบาล คลินิก ย่านที่ผู้คนแออัด ฯลฯ อย่างน้อย 3 วัน
  • งดการทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงเยอะๆ เช่น การออกกำลังกายหนักๆ หรือการทำงานที่ต้องใช้แรงหนักๆ อย่างน้อย 1-2 วันหลังฉีด
  • งดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หลีกเลี่ยงแสงแดด มลภาวะและฝุ่นควันอย่างน้อย 1-2 วันหลังฉีด
  • หลังการฉีด Stem Cell อาจมีอาการง่วงนอนมากกว่าปกติ ให้ดื่มน้ำเยอะๆ หรือดื่มน้ำหวานเพื่อเพิ่มความสดชื่นได้

สรุป

ที่ลินนาคลินิก (Linna Clinic) เราพร้อมบริการ ฉีดสเต็มเซลล์ (Stem Cell) MSCs คุณภาพสูงจากรก รับประกันความปลอดภัยและมีมาตรฐาน ที่จะช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวให้แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก เติมความแข็งแรงให้ชั้นผิว เผยผิวอิ่มฟู ดูสุขภาพดียิ่งกว่าที่เคย ดูแลและดำเนินการรักษาโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกเคส สนใจฉีด Stem Cell MSCs โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถแอดไลน์ @linnaclinic เข้ามาพูดคุย ปรึกษารายละเอียดเบื้องต้นก่อนการฉีด Stem Cell หรือจองคิวเข้ารับการรักษา ที่ลินนาคลินิก (Linna Clinic) ได้เลยค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

LINNA Clinic คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 การันตีความเป็นผู้นำด้าน HIFU 4 ปีซ้อน!!

เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ LINNA Clinic ที่ปีนี้คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งถือเป็นโปรเจกต์เรือธงของนิตยสารแพรว ซึ่งจัดต่อเนื่องมาถึงปีที่ 11 และเป็นมาตรฐานสำคัญในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และบริการความงามที่ดีที่สุดของไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Icon of Perfection” สะท้อนแนวคิดว่า ความสมบูรณ์แบบไม่ได้มีสูตรสำเร็จ แต่คือความพอใจในแบบของตนเอง โดยในปีนี้ LINNA Clinic ได้รับถึง 2 รางวัลทรงเกียรติ ได้แก่ Hall of Fame รางวัลนี้ถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดในงาน PRAEW ICONIC BEAUTY ที่ไม่ได้มอบให้กับทุกแบรนด์ แต่คัดเลือกเฉพาะผู้ที่สามารถรักษามาตรฐานคุณภาพและความน่าเชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน สะท้อนถึงความมั่นคงและความเป็นผู้นำที่แท้จริงในวงการความงาม ปีนี้ LINNA Clinic ได้รับการประกาศเกียรติยศเข้าสู่ Hall of Fame อย่างสง่างาม พร้อมทั้ง คุณว่าน – กุศลิน ลัญจกรกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ LINNA

วัคซีนโควิด (COVID-19 Vaccine) คืออะไร? มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 “วัคซีน” ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลก ลดความรุนแรงของโรค และช่วยให้ระบบสาธารณสุขกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง (World Health Organization, 2023; European Medicines Agency, 2022) แต่ในขณะเดียวกัน การฉีดวัคซีนก็ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มีความเสี่ยง” เพราะเช่นเดียวกับการรักษาทางการแพทย์ทุกประเภท วัคซีนก็อาจมีผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ในบางคนได้เช่นกัน (Centers for Disease Control and Prevention, 2022). แม้วัคซีนโควิดจะมีประโยชน์อย่างมากในการลดความรุนแรงของโรคโควิดและช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย แต่ในอีกด้านหนึ่ง วัคซีนก็มี “ข้อจำกัดและผลข้างเคียง” ที่ควรรู้ไว้เช่นกัน เช่น อาการไข้ ปวดเมื่อย หรือในบางรายอาจมีอาการแพ้หรืออักเสบที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษ (Patone et al., 2022). การเข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสียของวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล พร้อมดูแลร่างกายได้ถูกวิธี ทั้งก่อนและหลังการฉีดวัคซีน บทความนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่หลักการทำงาน ประเภทของวัคซีน ผลข้างเคียง ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น ไปจนถึงแนวทางดูแลและฟื้นฟูร่างกายหลังฉีดอย่างปลอดภัย เพื่อให้คุณเข้าใจว่า วัคซีนคือเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรค แต่ก็ยังต้องอาศัยการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Table of Contents

โปรตีนหนาม (Spike Protein) คืออะไร? อาการและผลข้างเคียงที่ควรรู้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในยุคโควิด-19 เพราะโปรตีนชนิดนี้เป็นทั้ง กลไกสำคัญที่ไวรัสใช้เข้าสู่เซลล์ของมนุษย์ และเป็น ส่วนประกอบหลักของวัคซีนรุ่นใหม่ ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) ถือเป็น “เครื่องมือสำคัญ” ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถจดจำเชื้อไวรัสและสร้างภูมิคุ้มกันได้รวดเร็วเมื่อติดเชื้อจริง แต่อีกด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) หากคงอยู่ในร่างกายนานเกินไป หรือ กระตุ้นภูมิคุ้มกันมากเกินจำเป็น ก็อาจเป็นสาเหตุของ ภาวะอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น เหนื่อยง่าย สมองล้า นอนไม่หลับ ปวดเมื่อย หรือภาวะคล้าย Long COVID นอกจากนี้ยังมีรายงานทางการแพทย์ที่ชี้ให้เห็นว่า Spike Protein อาจเกี่ยวข้องกับภาวะ หลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis), กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis), สมองล้า (Brain Fog) และ ภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน (Autoimmune-like Response)

Shopping Cart
Scroll to Top