ลดความดันโลหิตโดยไม่ใช้ยา ได้จริงหรือ?

ความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใหญ่วัยทำงานและผู้สูงอายุ หลายคนเมื่อทราบว่าตนเองมีภาวะความดันสูง ก็รู้สึกกังวลว่าจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต จึงเริ่มมองหาแนวทางทางเลือก โดยเฉพาะคำถามยอดฮิตว่า “สามารถลดความดันโดยไม่ใช้ยาได้จริงหรือไม่?”

ในบทความนี้ เราจะทุกท่านเข้าใจถึงแนวทางการลดความดันแบบไม่ใช้ยามีอยู่จริงไหม ใครเหมาะกับวิธีนี้ และมีอะไรบ้างที่ช่วยเสริมให้ได้ผลดีขึ้น โดยเฉพาะการบำบัดแนวใหม่อย่าง Eboo Therapy ที่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

Table of Contents

ความดันโลหิตคืออะไร? และส่งผลต่อร่างกายอย่างไร

ความดันโลหิต คือ แรงดันของเลือดที่ไหลผ่านหลอดเลือดแดงขณะที่หัวใจบีบตัวและคลายตัว โดยจะวัดเป็น 2 ค่า คือ:

  • Systolic (ตัวบน): แรงดันตอนหัวใจบีบตัว
  • Diastolic (ตัวล่าง): แรงดันตอนหัวใจคลายตัว

หากค่า Systolic สูงกว่า 130 หรือ Diastolic เกิน 80 ถือว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อความดันสูง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหัวใจ สมองขาดเลือด หลอดเลือดแตก หรือโรคไตในระยะยาว อาการของความดันสูงอาจไม่ชัดเจน แต่บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะ หน้ามืด หายใจไม่ทัน หรือเหนื่อยง่าย ซึ่งไม่ควรมองข้าม

โดยค่าความดันปกติอยู่ที่ประมาณ 120/80 mmHg

3 วิธีลดความดันโดยไม่ใช้ยา ที่เห็นผลจริง

หากเราอยู่ในช่วงเริ่มต้นของความดันสูง หรือยังไม่ถึงขั้นที่ต้องใช้ยา ก็สามารถลดความดันด้วยวิธีธรรมชาติที่ปลอดภัยและยั่งยืนได้ เรารวม 3 วิธีที่ทำเองได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวันสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้เลย

1.ปรับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์

  • ลดน้ำหนักจากงานวิจัยพบว่า การลดน้ำหนักเพียง 5–10% ของน้ำหนักตัวสามารถลดความดันได้ถึง 5–10 mmHg
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะ การเดินเร็ว ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน ช่วยลด Systolic ได้ราว 4–9 mmHg
  • ลดโซเดียม เพียงจำกัดการบริโภคเกลือให้น้อยกว่า 2,000 มิลลิกรัม/วัน จะช่วยลดความดันตัวบนลงได้ประมาณ 2–8 mmHg
  • ข้อนี้สำคัญมากๆ งดลดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ จะสามารถช่วยให้หลอดเลือดทำงานดีขึ้น ลดภาวะต้านทานต่ออินซูลิน เป็นวิธีที่สามารถลดความดันแบบถาวรได้ดีอีกวิธี 

2.ลดเครียด และ พักผ่อนให้เพียงพอ

  • ความเครียดเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความดันพุ่งสูงได้โดยไม่รู้ตัว เคล็ดลับสำหรับใครที่มีความเคลียดสะสมแบบไม่รู้ตัวระหว่างวันคือ ฝึกสมาธิ หายใจลึกๆ โยคะ หรือแม้แต่การฟังเพลงผ่อนคลาย สามารถช่วยลดฮอร์โมนคอร์ติซอล และทำให้หัวใจเต้นช้าลงเช่น: หายใจเข้าช้า 4 วินาที – กลั้น 2 วินาที – หายใจออก 6 วินาที วันละ 5–10 นาที ก็สามารถช่วยลดความดันได้จริง

3.เลือกรับประทานอาหารที่สามารถช่วยลดความดัน

  • อาหารที่ที่เราอยากแนะนำทุกท่าน คือ ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีโพแทสเซียม เช่น กล้วย อะโวคาโด ฟักทองกระเทียมสด บีทรูท ดาร์กช็อกโกแลต และชาเขียว อหารที่แนะนำเหล่านี้ มีสารช่วยขยายหลอดเลือดและลดการอักเสบ ถือว่าเป็นอาหารที่เหมาะสมกับคนที่มีโรคความดันเป็นอย่างมาก

รู้จัก Eboo Therapy ทางเลือกใหม่ในการดูแลความดัน

นอกจากการปรับพฤติกรรมแล้ว ยังมีเทคนิคฟื้นฟูแนวใหม่ที่เริ่มเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ ได้แก่ Eboo Therapy (EBOO PLUS Technique)

  • อาหารที่ที่เราอยากแนะนำทุกท่าน คือ ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีโพแทสเซียม เช่น กล้วย อะโวคาโด ฟักทองกระเทียมสด บีทรูท ดาร์กช็อกโกแลต และชาเขียว อหารที่แนะนำเหล่านี้ มีสารช่วยขยายหลอดเลือดและลดการอักเสบ ถือว่าเป็นอาหารที่เหมาะสมกับคนที่มีโรคความดันเป็นอย่างมาก

หลักการทำงานของ Eboo Therapy

Eboo Therapy เป็นกระบวนการที่นำเลือดออกจากร่างกาย ผ่านระบบกรองและเติมออกซิเจนโดยใช้เรทความเข้มข้นของโอโซนอยู่ที่ประมาณ 0.1-0.5 ไมโครกรัม/cc (ไม่เกิน 2 ไมโครกรัม) ก่อนจะส่งกลับเข้าไปในร่างกาย ทำให้เลือดสะอาดขึ้น การไหลเวียนดีขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน

ประโยชน์ต่อความดันโลหิต

  • ช่วยลดภาวะการอักเสบของหลอดเลือด
  • ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต ทำให้หัวใจไม่ต้องบีบตัวแรง
  • ลดความเหนื่อยล้าและอาการเวียนหัวในผู้ที่มีความดันสูงเรื้อรัง
  • ลดการะอักเสบของร่างกายทำให้ร่างกายมีความสดชื่นมากยิ่งขึ้น

สำหรับใครที่ไม่เคยทำหรือมีความกังวล เรามีบริการที่ตรวจประวัติสุขภาพและปัญหาสุขภาพรายบุคคลเพื่อสามารถให้คำแนะนำแนวทางการรักษาอย่างตรงจุด ทุกขั้นตอนเราทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อความมั่นใจของทุกท่านอย่างแน่นอน 

วิธีลดความดันโดยไม่ใช้ยาเหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่มีความดันระดับเริ่มต้น (Stage 1: 130–139/80–89 mmHg)
  • ไม่มีโรคร่วม เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ไตเรื้อรัง

แม้ว่าการไม่ใช้ยาจะดูปลอดภัย แต่ไม่ใช่ทุกคนสามารถทำได้ เพราะบางรายจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อควบคุมโรคในระยะวิกฤต 

ข้อควรระวัง:

  • ควรวัดความดันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น)
  • สังเกตแนวโน้ม ไม่ควรตัดสินจากค่าครั้งเดียว
  • หากความดันยังสูงแม้เปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว ควรปรึกษาแพทย์ทันที

สรุป

การลดความดันโดยไม่ใช้ยา เป็นไปได้จริง สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเริ่มต้นและมีสุขภาพโดยรวมแข็งแรง วิธีนี้มีข้อดีคือปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งยา และยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม อย่างไรก็ตาม ต้องอาศัยความตั้งใจ สม่ำเสมอ และการติดตามผลอย่างใกล้ชิด การเสริมด้วยบริการอย่าง Eboo Therapy ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนโลหิต และส่งผลต่อความดันได้ในทางอ้อม อย่าลืมว่า การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ไม่ได้หมายถึงการหลีกเลี่ยงการแพทย์แผนปัจจุบัน แต่คือการใช้ทุกแนวทางอย่างชาญฉลาด และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ  สอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ @linnaclinic, whatsapp +66919799554 หรือโทร 063-609-8888 ได้เลยค่ะ 

บทความที่เกี่ยวข้อง

LINNA Clinic คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 การันตีความเป็นผู้นำด้าน HIFU 4 ปีซ้อน!!

เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ LINNA Clinic ที่ปีนี้คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งถือเป็นโปรเจกต์เรือธงของนิตยสารแพรว ซึ่งจัดต่อเนื่องมาถึงปีที่ 11 และเป็นมาตรฐานสำคัญในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และบริการความงามที่ดีที่สุดของไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Icon of Perfection” สะท้อนแนวคิดว่า ความสมบูรณ์แบบไม่ได้มีสูตรสำเร็จ แต่คือความพอใจในแบบของตนเอง โดยในปีนี้ LINNA Clinic ได้รับถึง 2 รางวัลทรงเกียรติ ได้แก่ Hall of Fame รางวัลนี้ถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดในงาน PRAEW ICONIC BEAUTY ที่ไม่ได้มอบให้กับทุกแบรนด์ แต่คัดเลือกเฉพาะผู้ที่สามารถรักษามาตรฐานคุณภาพและความน่าเชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน สะท้อนถึงความมั่นคงและความเป็นผู้นำที่แท้จริงในวงการความงาม ปีนี้ LINNA Clinic ได้รับการประกาศเกียรติยศเข้าสู่ Hall of Fame อย่างสง่างาม พร้อมทั้ง คุณว่าน – กุศลิน ลัญจกรกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ LINNA

วัคซีนโควิด (COVID-19 Vaccine) คืออะไร? มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 “วัคซีน” ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลก ลดความรุนแรงของโรค และช่วยให้ระบบสาธารณสุขกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง (World Health Organization, 2023; European Medicines Agency, 2022) แต่ในขณะเดียวกัน การฉีดวัคซีนก็ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มีความเสี่ยง” เพราะเช่นเดียวกับการรักษาทางการแพทย์ทุกประเภท วัคซีนก็อาจมีผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ในบางคนได้เช่นกัน (Centers for Disease Control and Prevention, 2022). แม้วัคซีนโควิดจะมีประโยชน์อย่างมากในการลดความรุนแรงของโรคโควิดและช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย แต่ในอีกด้านหนึ่ง วัคซีนก็มี “ข้อจำกัดและผลข้างเคียง” ที่ควรรู้ไว้เช่นกัน เช่น อาการไข้ ปวดเมื่อย หรือในบางรายอาจมีอาการแพ้หรืออักเสบที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษ (Patone et al., 2022). การเข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสียของวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล พร้อมดูแลร่างกายได้ถูกวิธี ทั้งก่อนและหลังการฉีดวัคซีน บทความนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่หลักการทำงาน ประเภทของวัคซีน ผลข้างเคียง ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น ไปจนถึงแนวทางดูแลและฟื้นฟูร่างกายหลังฉีดอย่างปลอดภัย เพื่อให้คุณเข้าใจว่า วัคซีนคือเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรค แต่ก็ยังต้องอาศัยการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Table of Contents

โปรตีนหนาม (Spike Protein) คืออะไร? อาการและผลข้างเคียงที่ควรรู้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในยุคโควิด-19 เพราะโปรตีนชนิดนี้เป็นทั้ง กลไกสำคัญที่ไวรัสใช้เข้าสู่เซลล์ของมนุษย์ และเป็น ส่วนประกอบหลักของวัคซีนรุ่นใหม่ ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) ถือเป็น “เครื่องมือสำคัญ” ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถจดจำเชื้อไวรัสและสร้างภูมิคุ้มกันได้รวดเร็วเมื่อติดเชื้อจริง แต่อีกด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) หากคงอยู่ในร่างกายนานเกินไป หรือ กระตุ้นภูมิคุ้มกันมากเกินจำเป็น ก็อาจเป็นสาเหตุของ ภาวะอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น เหนื่อยง่าย สมองล้า นอนไม่หลับ ปวดเมื่อย หรือภาวะคล้าย Long COVID นอกจากนี้ยังมีรายงานทางการแพทย์ที่ชี้ให้เห็นว่า Spike Protein อาจเกี่ยวข้องกับภาวะ หลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis), กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis), สมองล้า (Brain Fog) และ ภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน (Autoimmune-like Response)

Shopping Cart
Scroll to Top