HBOT vs EBOO Therapy ต่างกันอย่างไร? เลือกวิธีฟื้นฟูสุขภาพแบบไหนให้ตอบโจทย์

ในยุคที่เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น PM 2.5 มลภาวะทางอากาศ สารเคมีตกค้างในอาหาร การใช้ยารักษาโรค ความเครียดเรื้อรังจากการทำงาน หรือแม้แต่เชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเร่งกระบวนการเสื่อมของร่างกายเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ผู้คนยุคใหม่หันมาใส่ใจการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น “การบำบัดเพื่อเติมออกซิเจนให้กับร่างกาย” จึงกลายเป็นอีกทางเลือกที่ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะสองเทคนิคที่มีความโดดเด่นอย่าง HBOT (Hyperbaric Oxygen Therapy) และ EBOO Therapy (Extracorporeal Blood Oxygenation and Ozonation) แม้ทั้งสองเทคนิคนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนและฟื้นฟูสมดุลร่างกาย แต่ก็มีหลักการทำงานรวมถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต่างกันไป HBOT vs EBOO Therapy ต่างกันอย่างไร? ข้อดี-ข้อเสีย ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจเข้ารับการบำบัด บทความนี้จาก LINNA Clinic (ลินนา คลินิก) มีข้อมูลเกี่ยวกับการบำบัดแต่ละรูปแบบอย่างครบถ้วน

Table of Contents

HBOT คืออะไร? มีหลักการทำงานอย่างไร

HBOT (Hyperbaric Oxygen Therapy) คือ การบำบัดร่างกายด้วยการใช้ออกซิเจนความดันสูง โดยเป็นกระบวนการบำบัดที่ผู้เข้ารับบริการจะต้องเข้าไปนอนภายในตู้กระจกความดันสูง (Hyperbaric Chamber) เพื่อหายใจเอาออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% ภายใต้แรงดันที่สูงกว่าบรรยากาศปกติทั่วไป 2-3 เท่า ทำให้ออกซิเจนสามารถละลายเข้าสู่กระแสเลือดได้มากกว่าการหายใจตามปกติ ร่างกายจึงได้รับออกซิเจนในระดับเซลล์อย่างเต็มที่ ส่งผลดีต่อการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ เร่งกระบวนการสมานแผล ลดการอักเสบ และเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

HBOT เหมาะกับใคร?

  • ผู้ป่วยที่มีแผลเรื้อรัง แผลหายช้า เช่น แผลเบาหวาน แผลกดทับ แผลไฟไหม้ และแผลน้ำร้อนลวก
  • ผู้ที่มีภาวะสมองขาดออกซิเจน หรือผู้ป่วย Stroke ในระยะพักฟื้น
  • ผู้ที่มีภาวะฟองอากาศในหลอดเลือด (Air Embolism)
  • ผู้ที่เป็นโรคลดความกด (Decompression Sickness)
  • ผู้ที่ได้รับพิษจากคาร์บอนมอนอกไซด์
  • ผู้ที่มีอาการอักเสบ บวมแดง หรือติดเชื้อหลังการผ่าตัด และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากรังสี

ข้อดี-ข้อเสีย ของการทำ HBOT

ข้อดี

  • ช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือดได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการเติมออกซิเจนรูปแบบพิเศษเข้าสู่ร่างกายผ่านทางระบบทางเดินหายใจ ส่งผลดีต่อการไหลเวียนของเลือดและการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อที่ขาดออกซิเจน
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ และช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว ลดอาการอักเสบ ปวดบวม และป้องกันการติดเชื้อในร่างกาย

ข้อเสีย

  • ต้องอยู่ในห้องแรงดันสูงนาน 60-90 นาที อาจทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกอึดอัด หรือไม่สบายตัวในระหว่างขั้นตอนการบำบัด
  • อาจทำให้เกิดอาการหูอื้อ แน่นหู หรือเจ็บหู เนื่องจากการเปลี่ยนแรงดันอากาศอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหูชั้นกลางหรือไซนัส
  • อาจทำให้รู้สึกคลื่นไส้ เวียนศีรษะ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระดับค่าสายตาได้ชั่วคราว
  • การทำ HBOT อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ ผู้ที่มีภาวะปอดแฟบ โรคปอดบางชนิด หรือผู้ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งควรได้รับการประเมินอย่างละเอียดก่อนเข้ารับบริการ

EBOO Therapy คืออะไร? มีหลักการทำงานแบบไหน?

EBOO Therapy (Extracorporeal Blood Oxygenation and Ozonation) คือ กระบวนการกรองเลือดและล้างสารพิษตกค้าง ด้วยการนำเลือดออกจากร่างกายเพื่อทำความสะอาดผ่านไส้กรองปลอดเชื้อ จากนั้นจึงเติมออกซิเจนและโอโซนความเข้มข้นต่ำให้เลือดที่ผ่านการกรองทำความสะอาด แล้วนำกลับเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ และต่อเนื่องผ่านทางเส้นเลือดดำที่แขนอีกฝั่ง โดยใช้เวลาในการกรองและเติมเลือดประมาณ 60-90 นาที/ครั้ง เพื่อเพิ่มระดับออกซิเจนให้เซลล์ ช่วยฟื้นฟูสุขภาพจากภายใน บรรเทาความรู้สึกเหนื่อยล้า และเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น

EBOO Therapy เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีภาวะเหนื่อยล้าเรื้อรัง สมองล้า
  • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการพักฟื้นหลังเจ็บป่วย
  • ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ เช่น SLE รูมาตอยด์ และโรคภูมิแพ้
  • ผู้ที่มีสารพิษสะสมในร่างกาย หรือเคยสัมผัสสารเคมี โลหะหนัก
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นตัวหลังโควิด-19 หรือหลังฉีดวัคซีน
  • ผู้ที่ต้องการล้างสารพิษ ขจัดของเสียจากร่างกาย และฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันให้กลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ข้อดี-ข้อเสีย ของการทำ EBOO Therapy

ข้อดี

  • ช่วยเพิ่มพลังงานระดับเซลล์ ด้วยการเติมออกซิเจนและโอโซนให้เลือดโดยตรง ทำให้ร่างกายสดชื่น ลดอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง และช่วยปรับสมดุลร่างกาย
  • ช่วยขจัดสารพิษ ของเสีย โลหะหนัก และสารอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ตามปกติ
  • ใช้เวลาในการบำบัดประมาณ 60-90 นาที/ครั้ง และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำเสร็จ

ข้อเสีย

  • ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง เนื่องจากทุกขั้นตอนต้องมีความละเอียด แม่นยำ ทั้งการแทงเข็มเปิดเส้นเลือด และควบคุมแรงดันเลือดขาเข้า-ขาออก ให้ได้สมดุล รวมถึงการกำหนดความเข้มข้นของโอโซนและอัตราการไหลของแก๊สอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้เข้ารับบำบัดรู้สึกสบายตัวและผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังการบำบัด
  • อาจมีอาการอ่อนเพลีย หรือปวดศีรษะ ได้เล็กน้อยในบางราย
  • การทำ EBOO Therapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้โอโซน หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร ผู้ที่มีความปกติของการแข็งตัวของเลือดต้องแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบล่วงหน้า

HBOT vs EBOO Therapy ต่างกันอย่างไร? เลือกทำแบบไหนดี

แม้ทั้ง HBOT และ EBOO Therapy จะเป็นการบำบัดเพื่อฟื้นฟูสุขภาพด้วยการเพิ่มออกซิเจนบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกายเหมือนกัน แต่มีหลักการทำงานและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน ดังนี้

  • HBOT (Hyperbaric Oxygen Therapy) เป็นวิธีการบำบัดด้วยการใช้ออกซิเจนความดันสูงเพื่อส่งออกซิเจนปริมาณมากเข้าสู่ร่างกาย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะที่เกี่ยวข้องกับการขาดออกซิเจนเฉียบพลัน เช่น ผู้ที่มีภาวะลดความกด ภาวะฟองอากาศในหลอดเลือด พิษคาร์บอนมอนอกไซด์ และผู้ป่วยที่มีภาวะบาดเจ็บ หรือมีแผลเรื้อรัง เช่น แผลเบาหวานเรื้อรัง แผลไฟไหม้ แผลกดทับ หรือเนื้อเยื่อที่เสียหายจากการฉายรังสี
  • EBOO Therapy เป็นการบำบัดด้วยการกรองเลือดเพื่อล้างสารพิษ จุลินทรีย์ สารเคมีตกค้าง และโลหะหนักออกจากร่างกาย พร้อมเติมออกซิเจนและโอโซนบริสุทธิ์เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตโดยตรง ช่วยให้หลอดเลือดสะอาดขึ้น ส่งผลดีต่อการฟื้นฟูระดับเซลล์รวมถึงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เทคนิคนี้จึงอาจตอบโจทย์มากกว่าสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต เช่น ความดันโลหิตผิดปกติ โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน รวมถึงผู้ที่มีภาวะเหนื่อยล้าเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคไลม์ (Lyme Disease) หรืออยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายหลังเจ็บป่วย และยังเหมาะกับผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวแต่ต้องการดูแลสุขภาพในเชิงป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ

สรุป

การเลือกบำบัดด้วยวิธี HBOT และ EBOO Therapy ขึ้นอยู่กับสภาวะสุขภาพ และจุดประสงค์ในการบำบัดของแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย ควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้น ข้อดี-ข้อเสีย ของการบำบัดแต่ละรูปแบบ รวมถึงเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อกำหนดแนวทางบำบัดที่เหมาะสมร่วมกัน สนใจบำบัดร่างกายโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์มากกว่า 12 ปี และผ่านเคสบำบัดจริงรวมกว่า 30,000 เคส สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ @linnaclinic, whatsapp +66919799554 หรือโทร 063-609-8888 ทุกสาขา

บทความที่เกี่ยวข้อง

LINNA Clinic คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 การันตีความเป็นผู้นำด้าน HIFU 4 ปีซ้อน!!

เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ LINNA Clinic ที่ปีนี้คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งถือเป็นโปรเจกต์เรือธงของนิตยสารแพรว ซึ่งจัดต่อเนื่องมาถึงปีที่ 11 และเป็นมาตรฐานสำคัญในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และบริการความงามที่ดีที่สุดของไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Icon of Perfection” สะท้อนแนวคิดว่า ความสมบูรณ์แบบไม่ได้มีสูตรสำเร็จ แต่คือความพอใจในแบบของตนเอง โดยในปีนี้ LINNA Clinic ได้รับถึง 2 รางวัลทรงเกียรติ ได้แก่ Hall of Fame รางวัลนี้ถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดในงาน PRAEW ICONIC BEAUTY ที่ไม่ได้มอบให้กับทุกแบรนด์ แต่คัดเลือกเฉพาะผู้ที่สามารถรักษามาตรฐานคุณภาพและความน่าเชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน สะท้อนถึงความมั่นคงและความเป็นผู้นำที่แท้จริงในวงการความงาม ปีนี้ LINNA Clinic ได้รับการประกาศเกียรติยศเข้าสู่ Hall of Fame อย่างสง่างาม พร้อมทั้ง คุณว่าน – กุศลิน ลัญจกรกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ LINNA

วัคซีนโควิด (COVID-19 Vaccine) คืออะไร? มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 “วัคซีน” ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลก ลดความรุนแรงของโรค และช่วยให้ระบบสาธารณสุขกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง (World Health Organization, 2023; European Medicines Agency, 2022) แต่ในขณะเดียวกัน การฉีดวัคซีนก็ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มีความเสี่ยง” เพราะเช่นเดียวกับการรักษาทางการแพทย์ทุกประเภท วัคซีนก็อาจมีผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ในบางคนได้เช่นกัน (Centers for Disease Control and Prevention, 2022). แม้วัคซีนโควิดจะมีประโยชน์อย่างมากในการลดความรุนแรงของโรคโควิดและช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย แต่ในอีกด้านหนึ่ง วัคซีนก็มี “ข้อจำกัดและผลข้างเคียง” ที่ควรรู้ไว้เช่นกัน เช่น อาการไข้ ปวดเมื่อย หรือในบางรายอาจมีอาการแพ้หรืออักเสบที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษ (Patone et al., 2022). การเข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสียของวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล พร้อมดูแลร่างกายได้ถูกวิธี ทั้งก่อนและหลังการฉีดวัคซีน บทความนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่หลักการทำงาน ประเภทของวัคซีน ผลข้างเคียง ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น ไปจนถึงแนวทางดูแลและฟื้นฟูร่างกายหลังฉีดอย่างปลอดภัย เพื่อให้คุณเข้าใจว่า วัคซีนคือเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรค แต่ก็ยังต้องอาศัยการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Table of Contents

โปรตีนหนาม (Spike Protein) คืออะไร? อาการและผลข้างเคียงที่ควรรู้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในยุคโควิด-19 เพราะโปรตีนชนิดนี้เป็นทั้ง กลไกสำคัญที่ไวรัสใช้เข้าสู่เซลล์ของมนุษย์ และเป็น ส่วนประกอบหลักของวัคซีนรุ่นใหม่ ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) ถือเป็น “เครื่องมือสำคัญ” ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถจดจำเชื้อไวรัสและสร้างภูมิคุ้มกันได้รวดเร็วเมื่อติดเชื้อจริง แต่อีกด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) หากคงอยู่ในร่างกายนานเกินไป หรือ กระตุ้นภูมิคุ้มกันมากเกินจำเป็น ก็อาจเป็นสาเหตุของ ภาวะอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น เหนื่อยง่าย สมองล้า นอนไม่หลับ ปวดเมื่อย หรือภาวะคล้าย Long COVID นอกจากนี้ยังมีรายงานทางการแพทย์ที่ชี้ให้เห็นว่า Spike Protein อาจเกี่ยวข้องกับภาวะ หลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis), กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis), สมองล้า (Brain Fog) และ ภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน (Autoimmune-like Response)

Shopping Cart
Scroll to Top