FAQ เกี่ยวกับ EBOO Therapy: รวมคำถามที่พบบ่อยก่อนตัดสินใจทำ

EBOO Therapy (Extracorporeal Blood Oxygenation and Ozonation) เป็นการบำบัดที่ใช้โอโซนทางการแพทย์มาผสมกับเลือดนอกร่างกาย ก่อนนำกลับเข้าสู่ร่างกายอย่างปลอดภัย กระบวนการนี้มีจุดเด่นในการช่วยขจัดสารพิษ เพิ่มออกซิเจนในเลือด และช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ปัจจุบัน EBOO Therapy ได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้ดีขึ้นแบบองค์รวมพร้อมเสริมสร้างสมดุลของร่างกายได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตามหลายคนอาจมีคำถามเกี่ยวกับกระบวนการทำ EBOO Therapy รวมถึงผลลัพธ์และข้อควรระวังก่อนเข้ารับบริการ LINNA Clinic (ลินนา คลินิก) ได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ EBOO Therapy เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจเข้ารับการบำบัดด้วยวิธีนี้  

Table of Contents

ระยะเวลาการทำ EBOO Therapy ใช้เวลานานแค่ไหน?

โดยทั่วไประยะเวลาที่ใช้ในการทำ EBOO Therapy จะอยู่ที่ประมาณ 45-60 นาทีต่อครั้ง ทั้งนี้ระยะเวลาที่ใช้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของเส้นเลือด อัตราการไหลเวียนโลหิต และความสามารถในการตอบสนองต่อโอโซนของร่างกายแต่ละบุคคล หลังจากทำเสร็จผู้เข้าบำบัดสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยไม่ต้องพักฟื้น

EBOO Therapy ควรทำบ่อยแค่ไหน?

ความถี่ในการทำ EBOO Therapy ขึ้นอยู่กับสภาวะสุขภาพและเป้าหมายของผู้เข้าบำบัด ในกรณีที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพจากภาวะเรื้อรัง เช่น อาการเหนื่อยล้าสะสม การติดเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียหรือการอักเสบเรื้อรัง แพทย์มักแนะนำให้ทำ EBOO Therapy ทุกๆ 2 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวและตอบสนองต่อการบำบัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยหรือภาวะสุขภาพที่ต้องการการฟื้นฟูโดยเฉพาะ แพทย์อาจพิจารณาให้เข้ารับการทำสัปดาห์ละครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถปรับลดความถี่ให้น้อยลงได้เมื่อสุขภาพดีขึ้นจนอยู่ในเกณฑ์ที่พึงพอใจ

การทำ EBOO Therapy หนึ่งครั้งสามารถกรองเลือดได้เท่าไหร่?

ปริมาณเลือดที่สามารถกรองได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปการทำ EBOO Therapy ในระยะเวลาประมาณ 45-60 นาที สามารถกรองเลือดได้ 20-25% ของปริมาณเลือดทั้งหมด

EBOO Therapy ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

  • ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและเพิ่มออกซิเจนในเลือด
  • ลดการอักเสบเรื้อรังและช่วยฟื้นฟูเซลล์ บรรเทาอาการปวดเรื้อรัง
  • ส่งเสริมระบบไหลเวียนโลหิตให้ทำงานดีขึ้น
  • ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับเซลล์ในร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง
  • ช่วยขจัดสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย
  • ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส สุขภาพดี

ผู้ที่มีภาวะเลือดจางสามารถทำ EBOO Therapy ได้ไหม?

โดยทั่วไปแล้วการทำ EBOO Therapy ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดจางเนื่องจากการบำบัดนี้มีการนำเลือดออกจากร่างกายและเติมกลับเข้ามาอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลต่อปริมาณเม็ดเลือดแดงทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างไรก็ตามที่ LINNA Clinic มีแพทย์ผู้ชำนาญการที่สามารถปรับกระบวนการบำบัดด้วยโอโซนให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกายของแต่ละบุคคล มีการควบคุมความเข้มข้นของโอโซนในปริมาณที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่องและตรวจจับลักษณะของเม็ดเลือดแดงแบบเรียลไทม์ จึงสามารถใช้บำบัดในผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดจาง เม็ดเลือดแดงอ่อนแอ ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 

เครื่อง EBOO Therapy แต่ละที่แตกต่างกันไหม?

แม้ว่า EBOO Therapy จะเป็นเทคนิคการบำบัดที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และหลักการทำงานของตัวเครื่องอาจไม่แตกต่างกัน แต่ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีที่สถานพยาบาลเลือกใช้รวมถึงประสบการณ์ของผู้ให้บริการล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยตลอดขั้นตอนการบำบัด ทั้งคุณภาพของระบบตัวเครื่องมอเตอร์ (Motor) เครื่องกำเนิดโอโซน (Ozone Generator) ที่ต้องสามารถควบคุมอัตราการเติมโอโซนเข้าสู่ร่างกายได้อย่างเสถียรและแม่นยำ รวมถึงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้บำบัด ตั้งแต่เทคนิคการแทงเปิดเส้นเลือดดำและกำหนดเลือดขาเข้าและขาออกอย่างเหมาะสมเพื่อควบคุมแรงดันเลือดให้ได้สมดุล การกำหนดความเข้มข้นของโอโซนและอัตราการไหลของแก๊สตามสภาวะสุขภาพ เพื่อให้ผู้เข้าบำบัดรู้สึกสบายตัวในระหว่างขั้นตอนการบำบัดและสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

หลังทำ EBOO Therapy จะมีอาการอย่างไร?

ความรู้สึกหลังทำ EBOO Therapy อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ผู้เข้าบำบัดบางรายอาจรู้สึกว่าร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่ามากขึ้นทันทีหลังทำ อาการไมเกรน วิงเวียนศีรษะ บ้านหมุนค่อยๆ ดีขึ้น ในขณะที่บางรายอาจรู้สึกคล้ายเดิม หรือมีอาการอ่อนเพลียได้หากดื่มน้ำน้อยหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ เพื่อให้กระบวนการบำบัดเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ผู้เข้ารับบำบัดควรเข้ารับการตรวจร่างกายโดยละเอียดเพื่อประเมินความเสี่ยงก่อนเริ่มบำบัด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดหลังทำ EBOO Therapy

ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนทำ EBOO Therapy?

  • เข้าพบแพทย์ เพื่อตรวจสภาวะร่างกายอย่างละเอียดและประเมินความเสี่ยงก่อนเข้ารับการบำบัด
  • พักผ่อนให้เพียงพอ โดยควรนอนหลับให้ได้ 6-8 ชั่วโมง
  • ดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
  • งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 วันก่อนทำ
  • ควรรับประทานอาหารล่วงหน้าอย่างน้อย 30 นาที เพื่อช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
  • งดทานวิตามินซี 1 วันก่อนทำ เนื่องจากวิตามินซีสามารถลดปฏิกิริยาของโอโซนในร่างกาย ทำให้ประสิทธิภาพของ EBOO Therapy ลดลง และกลับไปทานได้หลังทำครบ 1 วัน

ควรทำ EBOO Therapy กี่ครั้งถึงจะดีที่สุด?

ความถี่ในการทำ EBOO Therapy ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเลือดและสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล หากสุขภาพโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่มีภาวะโรคเรื้อรัง อาจทำ EBOO Therapy เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ (Health rejuvenation) เป็นครั้งคราว โดยอาจทำ 1 ครั้ง/เดือน หรือทุกๆ 2-3 เดือน สำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพหรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการไหลเวียนโลหิต แพทย์อาจปรับเพิ่มความถี่ของการบำบัดเป็นทุกๆ 1-2 สัปดาห์ จนกว่าสุขภาพจะดีขึ้นถึงจุดที่พอใจและปรับลดจำนวนครั้งที่ต้องทำให้น้อยลงตามความเหมาะสม

อาการปวดหัวหลังทำ EBOO Therapy เป็นเรื่องปกติไหม?

อาการปวดหัว วิงเวียนหลังทำ EBOO Therapy อาจพบได้ในบางรายซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความไวต่อโอโซน อาการปวดหัวหลังการบำบัดเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ในกลุ่มที่ดื่มน้ำน้อยก่อนเริ่มบำบัด โดยอาการปวดหัวจะเกิดขึ้นแค่เพียงชั่วคราวและหายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้แนะนำให้ดื่มน้ำสะอาดมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้น หากพบว่าอาการปวดศีรษะไม่ทุเลาลงหรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้อาเจียน หน้ามืด เป็นลม ควรเข้าพบแพทย์ทันที

หากกำลังอดอาหาร (Fasting) สามารถทำ EBOO Therapy ได้ไหม?

ไม่แนะนำ เนื่องจากการทำ EBOO Therapy มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและระบบไหลเวียนโลหิต หากร่างกายอยู่ในสภาวะ Fasting หรือการอดอาหารซึ่งมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติ อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หรืออ่อนเพลียอย่างรุนแรงหลังทำ EBOO Therapy

EBOO Therapy สามารถช่วยผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองอุดตันได้ไหม?

EBOO Therapy เป็นแนวทางบำบัดทางเลือกที่อาจช่วยฟื้นฟูร่างกายในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน โดยช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือดและสมอง กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและช่วยลดการอักเสบในร่างกายซึ่งส่งผลดีต่อกระบวนการฟื้นตัวของผู้ป่วย อย่างไรก็ตามการบำบัดนี้ไม่ใช่วิธีรักษาโรคหลอดเลือดสมองอุดตันโดยตรงและไม่สามารถใช้แทนการรักษาหลัก ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลเพื่อประเมินความเสี่ยงและตรวจสอบให้แน่ใจว่าการบำบัดจะไม่สร้างผลกระทบต่อแนวทางการรักษาหลักที่ใช้ในปัจจุบัน 

ถ้าหากไม่ได้มีอาการป่วย สามารถทำ EBOO Therapy ได้ไหม?

ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงและไม่มีอาการป่วย สามารถทำ EBOO Therapy เพื่อการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันได้เช่นเดียวกัน ทั้งผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มระดับออกซิเจนให้กับเซลล์ร่างกายเพื่อฟื้นฟูพลังงาน บรรเทาความเหนื่อยล้าสะสมและกำจัดสารพิษหรือของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย ทั้งนี้กระบวนการบำบัดเป็นเพียงแนวทางหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวม จึงไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคหรือความเจ็บป่วยได้ 100% เนื่องจากสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

ผู้ป่วยมะเร็ง ทำ EBOO Therapy ได้ไหม?

สามารถทำได้ แต่ผู้ป่วยจะต้องตระหนักถึงปัจจัยด้านสุขภาพและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากอาการของโรคมะเร็งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะทำ EBOO Therapy หรือไม่ก็ตาม โดยการบำบัดโอโซนช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในร่างกายซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเนื่องจากเซลล์มะเร็งมักไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะที่มีออกซิเจนสูง ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้ไวขึ้น ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะเลือดออกจากก้อนมะเร็งแพทย์มักไม่แนะนำให้เข้ารับการบำบัดเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เลือดออกมากขึ้น เพื่อความปลอดภัยผู้ป่วยโรคมะเร็งควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนตัดสินใจทำ EBOO Therapy

หากทานยาละลายลิ่มเลือดอยู่ทำ EBOO Therapy ได้ไหม

ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือดอาจต้องหยุดยาก่อนเข้ารับการบำบัดอย่างน้อย 1 วัน เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะเลือดออกมากผิดปกติ อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลเพื่อประเมินความเสี่ยงและความเหมาะสมของร่างกายก่อนเข้ารับการบำบัด ไม่ควรหยุดใช้ยาละลายลิ่มเลือดเองโดยพลการ

หากกำลังทำ Hormone Therapy อยู่สามารถทำ EBOO Therapy ได้ไหม

สามารถทำได้ ทั้งนี้เนื่องจากการตอบสนองต่อการบำบัดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ผู้เข้าบำบัดควรแจ้งข้อมูลและภาวะสุขภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนให้แพทย์ทราบโดยละเอียด เพื่อประเมินความเสี่ยงและปรับ Protocol การบำบัดได้อย่างเหมาะสม

สรุป

EBOO Therapy เป็นเทคนิคการบำบัดที่ให้ประโยชน์ทั้งในด้านของการฟื้นฟูร่างกายสำหรับผู้ป่วย และการดูแลสุขภาพในเชิงป้องกันสำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ อย่างไรก็ตามผู้ที่สนใจทำ EBOO Therapy ควรปรึกษาแพทย์และประเมินร่างกายโดยละเอียดเพื่อตรวจหาความเสี่ยงร่วมกับวางแผนการบำบัดอย่างเหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Ozone Therapy (EBOO PLUS Technique) สามารถแอดไลน์ @linnaclinic หรือติดต่อเข้ามาที่เบอร์ 063-609-8888 เราพร้อมดูแลทุกเคสบำบัดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์มากกว่า 12 ปีและผ่านเคสบำบัดจริงรวมกว่า 30,000 เคส

บทความที่เกี่ยวข้อง

LINNA Clinic คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 การันตีความเป็นผู้นำด้าน HIFU 4 ปีซ้อน!!

เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ LINNA Clinic ที่ปีนี้คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งถือเป็นโปรเจกต์เรือธงของนิตยสารแพรว ซึ่งจัดต่อเนื่องมาถึงปีที่ 11 และเป็นมาตรฐานสำคัญในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และบริการความงามที่ดีที่สุดของไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Icon of Perfection” สะท้อนแนวคิดว่า ความสมบูรณ์แบบไม่ได้มีสูตรสำเร็จ แต่คือความพอใจในแบบของตนเอง โดยในปีนี้ LINNA Clinic ได้รับถึง 2 รางวัลทรงเกียรติ ได้แก่ Hall of Fame รางวัลนี้ถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดในงาน PRAEW ICONIC BEAUTY ที่ไม่ได้มอบให้กับทุกแบรนด์ แต่คัดเลือกเฉพาะผู้ที่สามารถรักษามาตรฐานคุณภาพและความน่าเชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน สะท้อนถึงความมั่นคงและความเป็นผู้นำที่แท้จริงในวงการความงาม ปีนี้ LINNA Clinic ได้รับการประกาศเกียรติยศเข้าสู่ Hall of Fame อย่างสง่างาม พร้อมทั้ง คุณว่าน – กุศลิน ลัญจกรกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ LINNA

วัคซีนโควิด (COVID-19 Vaccine) คืออะไร? มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 “วัคซีน” ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลก ลดความรุนแรงของโรค และช่วยให้ระบบสาธารณสุขกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง (World Health Organization, 2023; European Medicines Agency, 2022) แต่ในขณะเดียวกัน การฉีดวัคซีนก็ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มีความเสี่ยง” เพราะเช่นเดียวกับการรักษาทางการแพทย์ทุกประเภท วัคซีนก็อาจมีผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ในบางคนได้เช่นกัน (Centers for Disease Control and Prevention, 2022). แม้วัคซีนโควิดจะมีประโยชน์อย่างมากในการลดความรุนแรงของโรคโควิดและช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย แต่ในอีกด้านหนึ่ง วัคซีนก็มี “ข้อจำกัดและผลข้างเคียง” ที่ควรรู้ไว้เช่นกัน เช่น อาการไข้ ปวดเมื่อย หรือในบางรายอาจมีอาการแพ้หรืออักเสบที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษ (Patone et al., 2022). การเข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสียของวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล พร้อมดูแลร่างกายได้ถูกวิธี ทั้งก่อนและหลังการฉีดวัคซีน บทความนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่หลักการทำงาน ประเภทของวัคซีน ผลข้างเคียง ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น ไปจนถึงแนวทางดูแลและฟื้นฟูร่างกายหลังฉีดอย่างปลอดภัย เพื่อให้คุณเข้าใจว่า วัคซีนคือเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรค แต่ก็ยังต้องอาศัยการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Table of Contents

โปรตีนหนาม (Spike Protein) คืออะไร? อาการและผลข้างเคียงที่ควรรู้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในยุคโควิด-19 เพราะโปรตีนชนิดนี้เป็นทั้ง กลไกสำคัญที่ไวรัสใช้เข้าสู่เซลล์ของมนุษย์ และเป็น ส่วนประกอบหลักของวัคซีนรุ่นใหม่ ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) ถือเป็น “เครื่องมือสำคัญ” ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถจดจำเชื้อไวรัสและสร้างภูมิคุ้มกันได้รวดเร็วเมื่อติดเชื้อจริง แต่อีกด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) หากคงอยู่ในร่างกายนานเกินไป หรือ กระตุ้นภูมิคุ้มกันมากเกินจำเป็น ก็อาจเป็นสาเหตุของ ภาวะอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น เหนื่อยง่าย สมองล้า นอนไม่หลับ ปวดเมื่อย หรือภาวะคล้าย Long COVID นอกจากนี้ยังมีรายงานทางการแพทย์ที่ชี้ให้เห็นว่า Spike Protein อาจเกี่ยวข้องกับภาวะ หลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis), กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis), สมองล้า (Brain Fog) และ ภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน (Autoimmune-like Response)

Shopping Cart
Scroll to Top