น้ำมันกัญชากับประโยชน์ทางสุขภาพที่คุณควรรู้

เดิมทีกัญชาเคยถูกจัดให้เป็นสารเสพติด แต่ภายหลังที่มีราชกิจจานุเบกษา ประกาศกระทรวงสาธารณสุขออกมาให้ยกเว้นกัญชาและกัญชงจากการเป็นสารเสพติดให้โทษประเภท 5 ก็ทำให้ การนำมาใช้ในทางการแพทย์นั้นถูกกฎหมาย รวมถึงยังสามารถปลูกกัญชาในครัวเรือนและเชิงพาณิชย์ได้ ผ่านการจดแจ้งต่อองค์การอาหารและยา (อย.) กัญชาก็กลายเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมและมาแรงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น การนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ในรูปแบบของอาหาร เครื่องสำอาง สมุนไพร ฯลฯ รวมถึงน้ำมันกัญชาด้วย

Table of Contents

กัญชาคืออะไร? ต้นกำเนิดและการใช้ในอดีต

กัญชา (Cannabis) เป็นพืชประเภทไม้ล้มลุกชนิดหนึ่งที่มีสาร Cannabinoids เป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งมีสารสำคัญ คือ Tetrahydrocannabinol หรือ THC และ Cannabidiol หรือ CBD นอกจากนี้ยังมีสารสำคัญอีกหลายกลุ่ม เช่น Flavonoid Terpenes ฯลฯ มีคุณสมบัติที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มความอยากอาหาร การลดความกังวล ลดความเจ็บปวด คลายกล้ามเนื้อ แต่ในขณะเดียวกันก็ออกฤทธิ์ต่อประสาทที่มีผลทำให้เกิดอารมณ์ที่ผิดปกติ มีอาการทางจิต หรือส่งผลต่อสติปัญญาได้เช่นเดียวกัน

            สำหรับต้นกำเนิดของกัญชานั้น คาดการณ์ว่าอาจมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียกลางหรือจีนตะวันตก กัญชาเป็นพืชที่มีการเก็บเกี่ยวเพื่อจุดประสงค์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การนำไปใช้ทางด้านการแพทย์อย่างการบรรเทาอาการปวด การนำไปใช้ในด้านการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ความเชื่อต่างๆ ไปจนถึงการนำส่วนของลำต้นหรือเส้นใยต่างๆ ไปใช้ในการผลิตเสื้อผ้าและเชือก เป็นต้น

กัญชามีกี่สายพันธุ์ แล้วแต่ละแบบมีผลอย่างไร

สำหรับกัญชานั้น ในปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์ ในแต่ละสายพันธุ์นั้นมีการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกันออกไป สำหรับสายพันธี่นิยมขายกันอยู่ทั่วไป ได้แก่

  • Cannabis Sativa ออกฤทธิ์ในการกระตุ้นสมอง ทำให้รู้มีพลังงาน สดชื่น ลดความวิตกกังวล
  • Cannabis Indica มีปริมาณ CBD สูง ออกฤทธิ์ทำให้รู้สึกง่วงนอน ผ่อนคลาย ทำให้รู้สึกอยากอาหาร
  • Cannabis Hybrid เกิดจากการผสมผสานระหว่างสายพันธุ์ Sativa และ Indica ซึ่งการออกฤทธิ์นั้นหลากหลายไปตามสัดส่วนของแต่ละสายพันธุ์
  • Thai Stick หรือ สายพันธุ์หางกระรอก ซึ่งเป็นกัญชาสายพันธุ์ไทย อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีค่า THC ที่สูง เชื่อกันว่าเกิดจากการผสมระหว่าง Sativa และ Indica มีสรรพคุณที่ช่วยทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม เจริญอาหาร และช่วยลดความเครียดได้

น้ำมันกัญชาคืออะไร?

น้ำมันกัญชา เป็นสารสกัดจากพืชกัญชาที่สกัดจากดดอกกัญชาผ่านกระบวนการ CO2 extraction หรือ Ethanol extraction มีด้วยกันหลายชนิด เช่น CBD Oil ที่สกัดจากกัญชง (Hemp) มีสาร CBD สูง มักถูกใช้ในทางการแพทย์ ไม่ออกฤทธิ์ต่อประสาท และ THC Oil ที่มีสาร THC สูง ออกฤทธิ์ต่อประสาท ถูกจัดเป็นสารเสพติดประเภท 1 เป็นต้น

            น้ำมันกัญชามีสรรพคุณที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยบรรเทาอาการปวด ลดการเกิดสิว ลดความเครียด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในประเทศไทย น้ำมันกัญชาได้รับอนุญาตให้ใช้สำหรับการแพทย์ โดยจะนำมาเป็นส่วนประกอบของยา อาหาร เครื่องสำอาง หรือสมุนไพร ที่จะต้องผ่านกระบวนการเจือจางสาร THC ให้เหลือความเข้มข้นเพียง 0.2% เท่านั้น อีกทั้งการใช้น้ำมันกัญชาก็ควรจะต้องอยู่ภายใต้การ

น้ำมันกัญชาใช้ยังไง? วิธีใช้ที่ปลอดภัย

นอกจากสรรพคุณของน้ำมันกัญชาที่น่าสนใจแล้ว การทำไปใช้งานเองก็สามารถทำได้หลากหลายวิธี โดยสามารถเลือกปรับได้ตามความเหมาะสมของผู้ป่วย หรือสภาพร่างกายของผู้ที่ต้องการใช้งานซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เช่น

  • น้ำมันกัญชาสำหรับใช้หยด จะเป็นลักษณะของการนำน้ำมันกัญชาไปหยดใต้ลิ้น ตัวยาจะดูดซึมเข้ากระแสเลือกได้อย่างรวดเร็ว
  • น้ำมันกัญชาสำหรับใช้นวด มีสรรพคุณสำหรับช่วยในการแก้ปวดเมื่อย ลดอาการปวดเรื้อรังของกล้ามเนื้อ โดยจะใช้น้ำมันกัญชาในการนวดบริเวณที่ปวด เช่น ขา แขน แผ่นหลัง เป็นต้น
  • น้ำมันกัญชาสำหรับใช้ทาหรือแต้มตามร่างกาย มีสรรพคุณสำหรับการช่วยในการรักษาโรคทางผิวหนัง ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง รวมไปถึงช่วยลดการเกิดสิวได้อีกด้วย เนื่องจากสารสกัดในกัญชานั้นสามารถลดการติดเชื้อของผิวหนังที่เกิดจากสิ่งสกปรกได้ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรียหรือเชื้อรา

ประโยชน์ของน้ำมันกัญชาในทางสุขภาพ

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ว่าน้ำมันกัญชานั้นมีสรรพคุณที่น่าสนใจและถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ ในส่วนของคุณประโยชน์ของน้ำมันกัญชาที่มีต่อสุขภาพนั้น ได้แก่

  • ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เนื่องจากสารสกัดในกัญชานั้นมีส่วนที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านอาการเจ็บปวดของร่างกายทั้งกล้ามเนื้อและระบบประสาท ทำให้น้ำมันกัญชามีประโยชน์ในกรช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของร่างกายได้
  • ช่วยบรรเทาอาการของโรคบางชนิด เช่น โรคลมชัก ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง อาการคลื่นไส้อาเจียน การเพิ่มความอยากอาหาร ลดผลข้างเคียงที่เกิดจากกรทำเคมีบำบัด เป็นต้น
  • ช่วยลดอาการวิตกกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า โดยสาร Cannabinoid ที่อยู่ในกัญชา สามารถช่วยปรับสภาวะทางอารมณ์ ช่วยให้ผ่อนคลายและนอนหลับได้อย่างดีขึ้นอีกด้วย แต่ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจและการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

ผลข้างเคียงในการใช้

ในส่วนของผลข้างเคียงหรืออันตรายที่เกิดจากการใช้น้ำมันกัญชานั้น หากเราใช้ในปริมาณที่เหมาะสมกับการรักษาและได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด น้ำมันกัญชาจะให้ประโยชน์และปลอดภัยอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม น้ำมันกัญชาก็อาจให้โทษหรือผลข้างเคียงจากการใช้งานได้เช่นเดียวกัน หากใช้งานในปริมาณที่เกินความเหมาะสม โดยอาจทำให้ เกิดอาหารท้องร่วง อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ ง่วงซึม น้ำหนักเปลี่ยนแปลง หายใจผิดปกติ วิตกกังวล ฯลฯ อีกทั้งยังมีข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขที่ระบุถึงการใช้กัญชาหรือสารสกัดที่มีปริมาณของสาร THC สูง ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ ก็อาจทำให้เกิดอาหารดื้อยาและจะต้องเพิ่มปริมาณในการใช้ยาให้มากยิ่งขึ้น หรือทำให้ผู้ใช้งานเกิดอาการเสพติดได้อีกด้วย     

กฎหมายการใช้น้ำมันกัญชาอย่างถูกต้อง

ประเทศไทยได้มีการปลดล็อกกัญชาเพื่อให้สามารถนำมาใช้ในการแพทย์และในงานวิจัย โดยสามารถปลูกกัญชาในครัวเรือน ปลูกในเชิงพาณิชย์ได้ โดยให้เข้าไปจดแจ้งผ่านแอปพลิเคชัน “ปลูกกัญ” ขององค์การอาหารและยา (อย.) สำหรับกฎหมายเกี่ยวกับการบริโภคน้ำมันกัญชาในประเทศไทยนั้น กล่าวโดยสรุปสั้นๆ ได้ ดังนี้

  • ปริมาณของน้ำมันกัญชาที่มีสาร CBD และ THC ที่เหมาะสม หรือจัดเป็นประเภทของสารไม่ควบคุมนั่นก็คือ ปริมาณที่ไม่เกิน 0.2%
  • การใช้งานน้ำมันกัญชาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
  • การซื้อขายน้ำมันกัญชาจะต้องซื้อจากแหล่งที่ได้รับอนุญาต
  • ห้ามมีการจัดจำหน่ายหรือโฆษณาโดยไม่มีใบอนุญาต
  • ห้ามพกพาออกนอกประเทศโดยเด็ดขาด

สรุป

การใช้งานน้ำมันกัญชานั้น หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและใช้งานให้ถูกประเภทก็จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องการนำมาใช้ในทางการรักษา สำหรับใครที่สนใจก็สามารถเข้ามาที่ LINNA CLINIC เรามีทีมแพทย์มากประสบการณ์ที่พร้อมให้ปรึกษาแนะนำในด้านสุขภาพ ทั้งยังมีแพทย์แผนไทย แพทย์ทางเลือก ที่จะช่วยแนะนำน้ำมันกัญชาที่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานแต่ละประเภท ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อเข้ามาสอบถามได้ที่ LINE: @linnaclinic //  WhatsApp +66 919799554

บทความที่เกี่ยวข้อง

LINNA Clinic คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 การันตีความเป็นผู้นำด้าน HIFU 4 ปีซ้อน!!

เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ LINNA Clinic ที่ปีนี้คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งถือเป็นโปรเจกต์เรือธงของนิตยสารแพรว ซึ่งจัดต่อเนื่องมาถึงปีที่ 11 และเป็นมาตรฐานสำคัญในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และบริการความงามที่ดีที่สุดของไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Icon of Perfection” สะท้อนแนวคิดว่า ความสมบูรณ์แบบไม่ได้มีสูตรสำเร็จ แต่คือความพอใจในแบบของตนเอง โดยในปีนี้ LINNA Clinic ได้รับถึง 2 รางวัลทรงเกียรติ ได้แก่ Hall of Fame รางวัลนี้ถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดในงาน PRAEW ICONIC BEAUTY ที่ไม่ได้มอบให้กับทุกแบรนด์ แต่คัดเลือกเฉพาะผู้ที่สามารถรักษามาตรฐานคุณภาพและความน่าเชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน สะท้อนถึงความมั่นคงและความเป็นผู้นำที่แท้จริงในวงการความงาม ปีนี้ LINNA Clinic ได้รับการประกาศเกียรติยศเข้าสู่ Hall of Fame อย่างสง่างาม พร้อมทั้ง คุณว่าน – กุศลิน ลัญจกรกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ LINNA

วัคซีนโควิด (COVID-19 Vaccine) คืออะไร? มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 “วัคซีน” ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลก ลดความรุนแรงของโรค และช่วยให้ระบบสาธารณสุขกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง (World Health Organization, 2023; European Medicines Agency, 2022) แต่ในขณะเดียวกัน การฉีดวัคซีนก็ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มีความเสี่ยง” เพราะเช่นเดียวกับการรักษาทางการแพทย์ทุกประเภท วัคซีนก็อาจมีผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ในบางคนได้เช่นกัน (Centers for Disease Control and Prevention, 2022). แม้วัคซีนโควิดจะมีประโยชน์อย่างมากในการลดความรุนแรงของโรคโควิดและช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย แต่ในอีกด้านหนึ่ง วัคซีนก็มี “ข้อจำกัดและผลข้างเคียง” ที่ควรรู้ไว้เช่นกัน เช่น อาการไข้ ปวดเมื่อย หรือในบางรายอาจมีอาการแพ้หรืออักเสบที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษ (Patone et al., 2022). การเข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสียของวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล พร้อมดูแลร่างกายได้ถูกวิธี ทั้งก่อนและหลังการฉีดวัคซีน บทความนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่หลักการทำงาน ประเภทของวัคซีน ผลข้างเคียง ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น ไปจนถึงแนวทางดูแลและฟื้นฟูร่างกายหลังฉีดอย่างปลอดภัย เพื่อให้คุณเข้าใจว่า วัคซีนคือเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรค แต่ก็ยังต้องอาศัยการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Table of Contents

โปรตีนหนาม (Spike Protein) คืออะไร? อาการและผลข้างเคียงที่ควรรู้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในยุคโควิด-19 เพราะโปรตีนชนิดนี้เป็นทั้ง กลไกสำคัญที่ไวรัสใช้เข้าสู่เซลล์ของมนุษย์ และเป็น ส่วนประกอบหลักของวัคซีนรุ่นใหม่ ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) ถือเป็น “เครื่องมือสำคัญ” ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถจดจำเชื้อไวรัสและสร้างภูมิคุ้มกันได้รวดเร็วเมื่อติดเชื้อจริง แต่อีกด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) หากคงอยู่ในร่างกายนานเกินไป หรือ กระตุ้นภูมิคุ้มกันมากเกินจำเป็น ก็อาจเป็นสาเหตุของ ภาวะอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น เหนื่อยง่าย สมองล้า นอนไม่หลับ ปวดเมื่อย หรือภาวะคล้าย Long COVID นอกจากนี้ยังมีรายงานทางการแพทย์ที่ชี้ให้เห็นว่า Spike Protein อาจเกี่ยวข้องกับภาวะ หลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis), กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis), สมองล้า (Brain Fog) และ ภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน (Autoimmune-like Response)

Shopping Cart
Scroll to Top