Apple Watch ผู้ช่วยสุขภาพที่ไม่ได้แค่บอกเวลา

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับการใช้ชีวิตประจำวัน อุปกรณ์เล็กๆ บนข้อมืออย่าง Apple Watch กลายเป็นผู้ช่วยดูแลสุขภาพที่หลายคนคาดไม่ถึง เพราะนอกจากบอกเวลาได้แล้ว ยังสามารถติดตามการออกกำลังกาย ตรวจวัดการเต้นของหัวใจ บันทึกการนอน ไปจนถึงช่วยเตือนให้คุณลุกขึ้นขยับร่างกายเมื่อคุณนั่งนานเกินไป เรียกได้ว่าเป็น “โค้ชสุขภาพส่วนตัว” ที่อยู่ใกล้ตัวคุณตลอด 24 ชั่วโมง

Table of Contents

Apple Watch คืออะไร

Apple Watch คือ สมาร์ตวอทช์ (Smartwatch) ที่ผลิตโดยบริษัท Apple Inc. เป็นอุปกรณ์สวมใส่ที่ข้อมือ ซึ่งออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับ iPhone เป็นหลัก แต่รุ่นใหม่ๆ จะมีความสามารถในการเชื่อมต่อ Cellular เพื่อใช้งานได้อิสระมากขึ้น เป็นอุปกรณ์สวมใส่สุดอัจฉริยะที่ผสมผสานระหว่างฟังก์ชันการบอกเวลา การเชื่อมต่อสื่อสาร ที่โดดเด่นที่สุดคือคุณสมบัติด้านสุขภาพและการออกกำลังกาย ทำให้มันกลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่คอยดูแลสุขภาพรวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของผู้ใช้งาน

Apple Watch ทำอะไรได้บ้าง

หน้าที่พื้นฐานของนาฬิกาคือการบอกเวลา แต่ Apple Watch สามารถแสดงข้อมูลอื่นๆ บนหน้าปัดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น วันที่ สภาพอากาศ กิจกรรมประจำวัน หรือข้อมูลจากแอปพลิเคชันอื่นๆ เป็นตัวเชื่อมโยงการสื่อสาร สามารถรับและโทรออกได้โดยตรงจากข้อมือ (ผ่านการเชื่อมต่อ iPhone หรือรุ่น Cellular) สามารถอ่านและตอบกลับข้อความได้ แสดงการแจ้งเตือนจากแอปต่างๆ บน iPhone เช่น อีเมล โซเชียลมีเดีย และยังใช้งาน Siri  ผู้ช่วยอัจฉริยะของ Apple ที่สามารถสั่งงานด้วยเสียงได้อีกด้วย

หน้าที่ของ Apple Watch ยังไม่จบแค่นั้นแต่ยังเป็นตัวช่วยที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายและการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น Apple Pay ใช้ชำระเงินแบบไร้สัมผัสได้ ควบคุมการเล่นเพลงบน iPhone หรือฟังเพลงจาก Apple Watch ได้โดยตรง ควบคุมกล้อง iPhone ช่วยค้นหาอุปกรณ์ Apple อื่นๆ หรือติดตามตำแหน่งของคนในครอบครัว และสามารถดาวน์โหลดและใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ที่รองรับบน watchOS ได้

และหน้าที่สำคัญที่เป็นหัวข้อหลักในวันนี้คือ “ผู้ช่วยสุขภาพและการออกกำลังกาย” ซึ่งหน้าที่นี้เป็นจุดเด่นที่ทำให้คนยุคใหม่ให้ความสนใจและยอมจ่ายเพื่อซื้อ Apple Watch มาใช้งานในชีวิตประจำวัน ฟังก์ชันอัจฉริยะเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเหล่านั้นต้องเรียกได้ว่าเป็น The Best ของการดูแลสุขภาพด้วยตัวของคนยุคนี้เองเลยทีเดียว

Apple Watch ช่วยเรื่องการดูแลสุขภาพอย่างไร

Apple Watch มาพร้อมกับเซนเซอร์และแอปพลิเคชันที่ช่วยในการติดตามดูแลสุขภาพในหลายมิติ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานไปจนถึงเรื่องที่ลึกกว่านั้น ด้วยเป็นนาฬิกาที่ต้องใส่ที่ข้อมือ จุดในการจับความเปลี่ยนแปลงในร่างกายจึงทำให้ Apple Watch มีความสามารถหลายอย่างด้านสุขภาพ โดยความสามารถเหล่านั้นคือ

ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Monitoring)

Apple Watch มีการแจ้งเตือนอัตราการเต้นของหัวใจสูง-ต่ำ สามารถเตือนผู้ใช้ได้หากอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพ มีการแจ้งเตือนภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ตรวจจับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่อาจบ่งชี้ถึงภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว ซึ่งเป็นภาวะที่อาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองได้ใน Apple Watch บางรุ่นสามารถบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ได้คล้ายกับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบซิงเกิลลีดทางการแพทย์ ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสุขภาพหัวใจได้ทุกที่ทุกเวลา และส่งข้อมูลให้แพทย์ได้

ติดตามอุณหภูมิที่ข้อมือ (Wrist Temperature Sensing)

ในรุ่น Apple Watch Series 8 ขึ้นไป และ Apple Watch Ultra สามารถวัดอุณหภูมิข้อมือในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นประโยชน์ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพทั่วไป ข้อมูลอุณหภูมิข้อมือนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน เช่น การติดตามรอบเดือน การคาดคะเนการตกไข่ และการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่อาจบ่งบอกถึงสภาวะสุขภาพบางอย่างด้วย

วัดค่าออกซิเจน (Blood Oxygen)

ใน Apple Watch บางรุ่น สามารถวัดระดับออกซิเจนในเลือดได้ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญถึงสุขภาพโดยรวมของระบบทางเดินหายใจและหลอดเลือด โดยมีวิธีวัดค่านั้นสามารถทำผ่านแอปพลิเคชัน Blood Oxygen ในขนาดวัดมให้วางแขนบนโต๊ะหรือตักของคุณ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมือของคุณอยู่ในแนวราบและ Apple Watch หันขึ้น เมื่อแตะเริ่มวางแขนของคุณนิ่งๆ ระหว่างการนับถอยหลัง 15 วินาทีก่อนอ่านค่า แตะเสร็จสิ้นเพื่อออกจากแอป

ตรวจจับการล้ม (Fall Detection)

หาก Apple Watch ตรวจจับได้ว่าผู้ใช้ล้มและไม่มีการเคลื่อนไหวหลังจากนั้น จะเสนอให้โทรหาบริการฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถกดปุ่มข้างเพื่อโทรออกไปยังเบอร์ฉุกเฉินได้ทันที

การติดตามกิจกรรม (Activity Tracking)

ใช้งาน Apple Watch ผ่านแอป “Activity” ซึ่งจะแสดงวงแหวน 3 วงที่แสดงความคืบหน้าของแต่ละวัน วงแหวนการเคลื่อนไหว (Move), วงแหวนการออกกำลังกาย (Exercise), และวงแหวนการยืน (Stand) แอปนี้จะบันทึกจำนวนแคลอรีที่เผาผลาญ, จำนวนนาทีที่คุณออกกำลังกาย, และจำนวนชั่วโมงที่คุณยืนและขยับตัว เป็นตัวช่วยในการบันทึกข้อมูลการเคลื่อนไหวในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี

เมตริกการออกกำลังกาย (Workout Tracking)

Apple Watch จะแสดงเมตริกโดยละเอียด เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราความเร็วในการวิ่ง ระยะทาง และระดับความสูง รองรับกิจกรรมหลากหลาย เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ โยคะ และอื่น ๆ ผ่านแอป Workout ในการออกกำลังกาย และยังสามารถปรับแต่งมุมมองการแสดงผล , เพิ่มหรือลบเมตริก, สร้างการออกกำลังกายแบบกำหนดเองได้อีกด้วย

ฝึกสภาวะทางอารมณ์ (State of Mind)

ช่วยส่งเสริมการมีสติและการทำสมาธิผ่านการฝึกหายใจและกิจกรรมสะท้อนความคิด และยังสามารถช่วยบันทึกสภาวะทางอารมณ์ เพื่อช่วยสร้างความตระหนักรู้ทางอารมณ์ ผ่านแอป Mindfulness คุณสามารถดูประวัติการบันทึกสภาวะจิตใจของคุณในแอป Health บน iPhone เพื่อติดตามแนวโน้มและปัจจัยที่มีผลต่ออารมณ์ของคุณได้ และยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนสภาวะจิตใจได้ผ่านแอป Mindfulness เช่นกัน

การติดตามการนอนหลับ (Sleep Tracking)

Apple Watch มี แอป Sleep ที่ช่วยให้ผู้ใช้ตั้งเป้าหมายการนอนหลับ สร้างตารางเวลาการนอน และติดตามระยะการนอนหลับ (REM, Core, Deep sleep) ทำให้รู้ว่าการนอนหลับของคุณเพียงพอหรือไม่ และคุรภาพการนอนหลับของคุณเป็นอย่างไร และมีการตรวจจับและการแจ้งเตือนภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea Notifications) ใน Apple Watch บางรุ่น

บันทึกสุขภาพ

แอป Medications บน Apple Watch ช่วยให้คุณติดตามการทานยา, บันทึกเวลาที่ทาน, และตั้งค่าการแจ้งเตือนเพื่อให้คุณไม่ลืมทานยาตามที่กำหนด. คุณสามารถเพิ่มยา, ตั้งค่าความถี่, เวลา, และรูปร่างของยาได้ในแอป Health บน iPhone แล้วซิงค์กับ Apple Watch แต่ต้องระมัดระวังเพราะแอป Medications เป็นเครื่องมือช่วยจัดการยา ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อวินิจฉัยหรือรักษาโรค ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเสมอเกี่ยวกับยาและการใช้ยาที่เหมาะสม

สรุป

Apple Watch ไมไ่ด้เเป็นเพียงแค่นาฬิกาแต่เป็น “คู่หูสุขภาพอัจฉริยะ” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตนเองได้อย่างสะดวกสบาย และมอนิเตอร์การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในร่างกายได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่ามาก Apple Watch ช่วยวัดค่าต่างๆ ได้เพียงเบื้องต้น ถ้าหากคุณอยากดูแลสุขภาพ และวางแผนสุขภาพ ส่งเสริมสุขภาพในระยะยาว สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ @linnaclinic , whatsapp +66919799554 หรือโทร 063-609-8888

บทความที่เกี่ยวข้อง

LINNA Clinic คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 การันตีความเป็นผู้นำด้าน HIFU 4 ปีซ้อน!!

เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ LINNA Clinic ที่ปีนี้คว้า 2 รางวัลใหญ่จาก PRAEW ICONIC BEAUTY 2025 เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งถือเป็นโปรเจกต์เรือธงของนิตยสารแพรว ซึ่งจัดต่อเนื่องมาถึงปีที่ 11 และเป็นมาตรฐานสำคัญในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และบริการความงามที่ดีที่สุดของไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Icon of Perfection” สะท้อนแนวคิดว่า ความสมบูรณ์แบบไม่ได้มีสูตรสำเร็จ แต่คือความพอใจในแบบของตนเอง โดยในปีนี้ LINNA Clinic ได้รับถึง 2 รางวัลทรงเกียรติ ได้แก่ Hall of Fame รางวัลนี้ถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดในงาน PRAEW ICONIC BEAUTY ที่ไม่ได้มอบให้กับทุกแบรนด์ แต่คัดเลือกเฉพาะผู้ที่สามารถรักษามาตรฐานคุณภาพและความน่าเชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน สะท้อนถึงความมั่นคงและความเป็นผู้นำที่แท้จริงในวงการความงาม ปีนี้ LINNA Clinic ได้รับการประกาศเกียรติยศเข้าสู่ Hall of Fame อย่างสง่างาม พร้อมทั้ง คุณว่าน – กุศลิน ลัญจกรกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ LINNA

วัคซีนโควิด (COVID-19 Vaccine) คืออะไร? มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 “วัคซีน” ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลก ลดความรุนแรงของโรค และช่วยให้ระบบสาธารณสุขกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง (World Health Organization, 2023; European Medicines Agency, 2022) แต่ในขณะเดียวกัน การฉีดวัคซีนก็ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มีความเสี่ยง” เพราะเช่นเดียวกับการรักษาทางการแพทย์ทุกประเภท วัคซีนก็อาจมีผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ในบางคนได้เช่นกัน (Centers for Disease Control and Prevention, 2022). แม้วัคซีนโควิดจะมีประโยชน์อย่างมากในการลดความรุนแรงของโรคโควิดและช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย แต่ในอีกด้านหนึ่ง วัคซีนก็มี “ข้อจำกัดและผลข้างเคียง” ที่ควรรู้ไว้เช่นกัน เช่น อาการไข้ ปวดเมื่อย หรือในบางรายอาจมีอาการแพ้หรืออักเสบที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษ (Patone et al., 2022). การเข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสียของวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล พร้อมดูแลร่างกายได้ถูกวิธี ทั้งก่อนและหลังการฉีดวัคซีน บทความนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่หลักการทำงาน ประเภทของวัคซีน ผลข้างเคียง ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น ไปจนถึงแนวทางดูแลและฟื้นฟูร่างกายหลังฉีดอย่างปลอดภัย เพื่อให้คุณเข้าใจว่า วัคซีนคือเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรค แต่ก็ยังต้องอาศัยการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Table of Contents

โปรตีนหนาม (Spike Protein) คืออะไร? อาการและผลข้างเคียงที่ควรรู้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในยุคโควิด-19 เพราะโปรตีนชนิดนี้เป็นทั้ง กลไกสำคัญที่ไวรัสใช้เข้าสู่เซลล์ของมนุษย์ และเป็น ส่วนประกอบหลักของวัคซีนรุ่นใหม่ ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) ถือเป็น “เครื่องมือสำคัญ” ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถจดจำเชื้อไวรัสและสร้างภูมิคุ้มกันได้รวดเร็วเมื่อติดเชื้อจริง แต่อีกด้านหนึ่ง “โปรตีนหนาม” (Spike Protein) หากคงอยู่ในร่างกายนานเกินไป หรือ กระตุ้นภูมิคุ้มกันมากเกินจำเป็น ก็อาจเป็นสาเหตุของ ภาวะอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น เหนื่อยง่าย สมองล้า นอนไม่หลับ ปวดเมื่อย หรือภาวะคล้าย Long COVID นอกจากนี้ยังมีรายงานทางการแพทย์ที่ชี้ให้เห็นว่า Spike Protein อาจเกี่ยวข้องกับภาวะ หลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis), กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis), สมองล้า (Brain Fog) และ ภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน (Autoimmune-like Response)

Shopping Cart
Scroll to Top